วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

R.P.G fantasy : Article World of Legend(บทความแห่งตำนานโลก)


สงบใจที่ว้าวุ่น แล้วสดับรับฟังกันให้ดีๆ
.
.
.
.
บทที่ 1 บทแห่งสีเทา
กาละครั้งหนึ่งอันเนิ่นนาน ยังมีนักรบหนุ่มผู้หนึ่ง แม้จะเป็นผู้ที่มีฝีมืออันฉกาดเพียงใด แต่จิตใจของเขานั้นเปรียบเสมือนสายลมเย็นๆที่สามารภพัดผ่านจิตใจร้อนรุ้มของผู้คนให้เย็นชื้นได้
.
.
.
วันเวลาผ่านไป กลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า"คนบนฟ้า"ที่นักรบผู้นั้นรับใช้อยู่ได้มอบหมายงานชิ้หนึ่งให้แก้นั้น และนักรบก็สามารถทำมันสำเร็จและเดินทางกลับบ้าน ทว่าบัดนี้บ้านเมืองของนักรบได้กลายเป็นทะเลเพลิงไปเสียแล้ว มันสายเกินไปที่จะสามารถช่วยเหลือใครไว้ได้ทัน ไม่เหลืออะไรไม่ให้นักรบปกป้องได้อีก นักรบเสียใจมาก ทันใดนั้นนักรบได้เห็นอะไรบางอย่างท้ามกลางกองทะเลเพลิง แม้จะเห็นรางๆแต่นักรบก็พยายามเพ่งมองจนพบว่าสิ่งที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงนั้นคือแม่ทัพของ"คนบนฟ้า"นั่นเอง
.
.
.
เขารู้ได้ทันทีว่าถูกหักหลังและถคำสั่งที่ภูกส่งมอบใหเเขาเป็นคำสั่งลวง ทำให้นักรบเจ็บแค้นมากที่ตนถูกหักหลังและยังต้องเสียครอบครัวไปอีกทำให้นักรบแค้นมากกว่าที่เป็นอยู่เสียอีกืนักรบรู้ดีว่าตัวเขาเองในตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรกับกองทัพของ"คนบนฟ้า"ทั้งกองทัพได้เลย เขาจึงหลบหนีออกมานอกเมืองเสียก่อนก่อนที่จะมีใครพบตัวเขาเข้าเสียก่อนที่เขาจะล้างแค้นได้สำเร็จ นักรบได้หลบหนีมาถึงอุโมงซึ่งภายในมี"พลังแห่งโลก"ถูกเก็บกักไว้ที่นี้ นักรบรู้ดีว่าการที่จะสามารถยืนหยัดสู้กับกองทัพของ"คนบนฟ้า"ได้มีแต่ต้องใช้พลังนี้เท่านั้น
.
.
.
และเมื่อเขาตัดสินใจที่จผนึกพลังนี้เข้ากับตัวเองเขาจึงลงมือทันที
วันเวลาผ่านไป เมื่อทุกอย่างเข้าที่นักรบได้กลับคืนสู้โลหภายนอกทันที และไม่มีการรอช้าเขาได้มุ่งตรงสู่โลกเบื้องบนซึ่งเป็นที่อยู่ของ"คนบนฟ้า" เมื่อถึงแล้วเขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าจะทำและต้องทำให้ได้ นั่นคือ การล้างแค้น!?
.
.
.
เขาสามารถทำสำเร็จดังประสงค์แต่ทว่า เมื่อนักรบผู้นั้นกลับสู่โลกเบื้องล่างเขาก็พบกับความหายนะ ภัยพิบัติที่เกิดจากโลกสูนย์เสียความสมดุลจากการที่เขาดูดเอาพลังไปใช้ และเมื่อเขาเหลือบมองตัวเองเขากลับพบว่า รูปลักษณ์ของตนแปลเปลี่ยนไปกลายเป็นอสูรร้าย ในขณะที่เขากำลังตกใจกับสภาพตนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียของเหล่าผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ บ้างก็เรียกหาคนในครอบครัว บ้างก็ร้องด้วยความตกใจ บ้างก็ร้องไห้ เสียงเหล่านั้นดังปนะสมปนแปกันจนฟังไม่เป็นภาษามนุษย์ นักรบรู้ดีว่าต้นเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเขาที่ต้องการจะแก้แค้เท่านั้น ไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาทีหลัง สิ่งเหล่านี้ให้นักรบรู้สึกสำนึกผิดเป็นอย่างมากทำให้เขาเดินพละออกจากที่แห่งนั้นไป
.
.
.
เมื่อมาภึงยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงที่สุดของที่แห่งนั้นนักรบคิดว่าความผิดทั้งหมดของเขาต่อให้ชดใช้ด้วยชีวิตตนก็ไม่อาจพอกับความผิดนี้ได้ เขาจึงต้องการคืนพลังทั้งหมดที่ได้มาแก่โลกซึ่งเป็นเจ้าของเดิม เขาจึงหยิบดาบขึ้นมาจี้ไว้ที่กลางอกของตนเองแล้วพูดขึ้นมาว่า"อันความผิดของข้าที่ไม่ควรให้อภัย ข้าจะขอคือพลังทั้งหมดที่ข้ามี ทั้งร่างกายข้า วิญญาณข้า จิตใจของข้า ก็จะขอคืนสู่แผ่นดิน ลม น้ำ และใดๆในโลก ขอให้ฟ้าดินเป็นพยานด้วยเถิด...."เมื่อเขาพูดจบก็ลงมือปลิชีพตนทันที
.
.
.
แสงแดดแรกปรากฏแล้ว เมฆหมอกแห่งพายุก็ถูกลมค่อยๆพัดผ่านออกไป คงเหลือไว้แต่เพียงท้องฟ้าสีคราม น้ำที่ท่วมก็ถูกดินดูดซับอย่างรวดเร็วแม้ต้องใช้เวลา 7 วัน น้ำถึงจะแห้งสนิดเพราะโลก ต่อให้ได้พลังกลับคืนมาแต่ก็ยังใช้เวลาในการพื้นตัวจนกว่าจะกลับมาเป็นปกติ ยุคสมัยใหม่ของมวลมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
.
.
.
.
จากเรื่องราวกลายมาเป็นเรื่องเล่า จากเรื่องเล่ากลายมาเป็นนิทาน จากนิทานกลายเป็นตำนาน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่ว่า"หัวใจของตำนานก็ยังคงรอ รอวันที่จะมีผู้ที่จะสืบทอกเจตนาแห่งตำนานสืยต่อไป".
.
.
.
.
บทที่ 2 หงษ์ในฝูงกา
เป็นเวลาหลายศตวรรที่เหล่า"คนบนฟ้า"ได้ทำสงครามแย่งชิงดินแดน"สุดขอบฟ้า"กับเหล่า"คนตีนเขา"จากเหตุที่ว่า"คนบนฟ้า"ได้ทำการเข้ายึดผื้นที่ดินแดน"สุดขอบฟ้า"ที่เป็นที่อยู่เดิมของเหล่า"คนตีนเขา"ตั้งแต่แรกเริ่ม เหล่า"คนบนฟ้า"รู้ดีว่าไม่สามารถชนะสงครามนี้แบบซึ่งๆหน้าได้เลยจึงออกอุบายให้เจ้าถิ่นเดินทางมาที่บ้านเมื่องของพวกตนโดยพาหนะที่พวกตนจัดรอเอาไว้ให้ เมื่อถึงเวลานัดพบเหล่า"คนตีนเขา"ได้ทำตามที่เหล่า"คนบนฟ้า"แนะนำ แต่ทว่าแทนที่ยานพาหนะที่เตรียมไว้จะพาไปส่งยังจุดหมาย แต่ทว่ากลับมาส่งที่ตีนเขาแห่งหนึ่งแล้วพากันหนีออกไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มคนเหล่านั้นต่างพากันตกใจ เมื่อรู้ตัวว่าตนถูก"คนบนฟ้า"หลอกเพื่อต้องการยึดผื้นที่ของพวกตน จึงพากันโกรธแค้นแล้วปฎิญาณว่า"จะขอทวงผื้นที่ที่เคยเป็นของตนกลับคืนมาไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม...!!!"นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มหาสงครามระหว่าง"คนตีนเขา"กับ"คนบนฟ้า"ก็ได้เริ่มขึ้น ทว่า ในสนามรบที่ไฟแห่ง"นักฟ่นไฟ"ยังไม่มอดดับ ท่ามกลางเปลวไฟนั้นได้ปรากฏครรถ์ไข่ขึ้น ทันใดนั้นครรถ์ไข่ได้แต่ออก และอัดของลนที่เกิดจากครรถ์ไข่ที่แต่ออกทำให้ไฟของ"นักฟ่นไฟ"ได้มอดดับลงทามกลางกองไฟที่มอดดับได้ปรากฏร่างของชายหนุ่มขึ้นนามว่า"นิลกาฬ"
.
.
.
วันเวลาผ่านไป"นิลกาฬ"ได้ถูก"ผู้รอบรู้"พามาเลี้ยงดูและให้การศึกษา จนกระทั่งวันหนึ่ง"ผู้รอบรู้"ได้บอกกับ"นิลกาฬ"ว่า"นิลกาฬเอ๋ย สูเจ้าจงไปที่ทะเลสาปปานะเสีย แล้วจงนำศาด์ตราที่สถิดอยู่ที่แห่งนั้นกลับมาให้ข้าด้วยเถิด"
.
.
.
เมื่อ"นิลกาฬ"รับคำสั่งจาก"ผู้รอบรู้"ก็ได้เดินทางไปที่ทะเลสาปปานะทันที ทันที่ที่ถึงทะเลสาป"นิลกาฬ"ได้ทำการค้นหาศาด์ตราวุธที่"ผู้รอบรู้"บอก ไม่ว่าซอกไหน มุมไหน เหลือบไหน"นิลกาฬ"ก็ไม่พบศาด์ตราวุธที่"ผู้รอบรู้"ได้บอกกับเขา แม้จะดำน้ำลงไปค้นหาจนทั่วก้นทะเลสาปก็ไม่พบ แต่"นิลกาฬ"กลับรู้สึกได้ว่า สิ่งนั้นอยู่ที่นี่ "นิลกาฬ"จึงตัดสินใจเปล่งคำพูดออกไปว่า"ศาด์ตราวุธที่สถิดอยู่ ณ. ที่แห่งนี้เอ๋ย จงมาอยู่กับข้าเถิด"กล่าวจบ"นิลกาฬ"ได้ยื้นมือออกมาด้านหน้า ฉับพลันก็มีลำแสงฟุ่งขึ้นมาจากทะเลสาป แล้วตรงมาที่มือของ"นิลกาฬ"เมื่อแสงทั้งหมดจางหายไปสิ่งที่หลงเหลือไว้มีเพียงดาบเล่มเดียวเท่านั้น "นิลกาฬเชื่อว่านี่คือสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่จึงนำดาบเล่มนั้นกลับไปให้แก่"ผู้รอบรู้"ตามที่ได้รับคำสั่งไว้
.
.
.
เมื่อกลับมาถึง"นิลกาฬ"ได้ส่งมอบดาบเล่มนั้นให้แก่"ผู้รอบรู้" เมื่อ"ผู้รอบรู้รับดาบมาจาก"นิลกาฬ"แล้วบอกกับ"นิลกาฬ"ว่า"นี่คือดาบตัดวายุ ศาด์ตราวุธนี้ถูกทอดทิ้งโดยผู้สร้างของมันเอง ข้าหวังว่าสูเจ้าจะดูแลมันให้ดี"เมื่อ"ผู้รอบรู้"พูดจบก็ได้ส่งดาบคืนให้กับ"นิลกาฬ"แล้วพูดต่ออีกว่า"มันถึงเวลาแล้วที่สูเจ้าต้องจากที่แห่งนี้ออกไปสู่โลกภายนอกแล้ว ทุกสิ่งที่ข้าสอนให้จงจำไว้ให้ดี แม้จะไม่มากเท่าใดนักเมื่อเปรียบกับโลกภายนอกนั่น เพราะสิ่งเหล่านั้นข้าไม่สามารถจะสอนสูเจ้าได้หมด สูเจ้าจะต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยตัวของสูเจ้าเอง จากนี้ไปขอให้สูเจ้าเลือกทางเดินของสูเจ้าด้วยตัวของสูเจ้าเถิด" "นิลกาฬ"ได้แต่นิ่งฟังอยู่พักหนึ่งแล้วถามกับ"ผู้รอบรู้ว่า"ท่านผู้รอบรู้ เมื่อท่านให้ข้าเลือกทางเดินของตัวข้าเอง แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งเหล่านั้นแม้เพียงเศษเสี้ยว" "ผู้รอบรู้"ได้ยินคำถามของ"นิลกาฬ"ถามขึ้นมาแบบนั้ก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนที่จะตอบ"นิลกาฬ"ว่า"ก็เพราะเหตุนี้แล สูถึงต้องออกไปดูโลกภายนอกและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยตนเอง เพราะแม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถอธิบายให้สูเจ้าเข้าใจได้โดยง่าย มันต้องเรียนรู้ด้วยตนเองนี่แลดีที่สุด" "นิลกาฬ"ถามต่ออีกว่า"แล้วข้าจะต้องทำตัวเช่นไร เมื่ออยู่โลกภายนอก" "ผู้รอบรู้"ยิ้มตอบว่า"ทำตัวเหมือนที่ตัวเคยทำและไม่ให้ผู้อื่นผู้ใดเดือดร้อนนั่นแล"
.
.
.
หลังจากที่"นิลกาฬ"ได้ออกมาสู่โลกภายนอก เขาได้พบเจอเรื่องราวมากมาย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถที่จะเลือกทางเดินของตัวเองได้ จนกระทั่ง วันหนึ่ง"นิลกาฬ"ได้เดินเข้าไปในเขตุสนามรบที่กำลังมีการสู้รบเกิดขึ้น เขาหยุดดูทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอยู่ครู่หนึ่ง ในใจของเขาดิดว่า"เหตุใด ทั้งสองฝ่ายจึงต้องเข่นฆ่ากันเหมือนดังผักปลา" "นิลกาฬ"คิดอยู่แบบนั้นอยู่อีกครู่หนึ่งและกำลังจะผละออกจากที่ตรงนั้น พอดีกับสายตาของเขาเหลือบไปเห็นแม่ทัพฝ่ายหนึ่งกำลังเสียท่า"นิลกาฬ"เห็นเข้าแบบนั้นจึงฟุ่งตรงเข้าไปช่วยทันที
.
.
.
ทันทีที่"นิลกาฬ"ตรงเข้าไปช่วยแม่ทัพผู้ที่กำลังจะเสียท่าให้กับฝ่ายตรงข้าม ทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆกันนั้นต่างพากันหยุดชงักและหันมามองที่"นิลกาฬ"ที่กำลังยืนประจันหน้ากับแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม "หลบไปเจ้าคนเถื่อน นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!!"แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามตะคอกใส่"นิลกาฬ" ส่วนทางด้าน"นิลกาฬ"เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ถามแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามว่า"ท่านแม่ทัพ แม้ข้าจะเถื่อนก็เถื่อนเพียงตัว ใช่ที่จิตใจข้า เพียงแต่ข้าข้องใจว่าเหตุใดพวกท่านจำต้องฆ่ากันด้วย?!" คำถามของ"นิลกาฬ"ทำให้แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามงุนงงจนตอบไม่ถูก แต่ในขณะที่"นิลกาฬ"กำลังรอคำตอบอยู่นั้นก็มีเสียงดังขึ้นทางด้านหลัง"พ่อหนุ่ม ขอบใจนะที่ช่วย แต่ข้าว่าสูรีบถอยออกไปเสียเถิด..."แม่ทัพคนที่เขาช่วยได้บอกกับเขา แต่"นิลกาฬ"ก็ยังเฝ้ารอคำตอบจากแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามอยู่
.
.
.
เมื่อเห็นท่าจะไม่ดีแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามได้ขอเปลี่ยนจากคำถามเป็นการท้าประลองกับ"นิลกาฬ"แบบตัวต่อตัวแทน ส่วน"นิลกาฬ"นั้นเมื่อรู้ว่าตนจะไม่ได้รับคำตอบแน่ๆแล้วก็รู้สึกผิดหวังแต่ก็ยอมทำตามข้อเสนอของแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามแต่โดยดี เมื่อแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามเห็นดังนั้นก็ได้บอกให้กองทัพของตนเองถอยออกไป ส่วนฝ่ายแม่ทัพที่"นิลกาฬ"ช่วยไว้นั้น เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามถอยออกก็สั่งให้กองทัพของตนถอยออกมาอีกเช่นกัน
.
.
.
กาประลองเริ่มขึ้น ในตอนแรกๆนั้น"นิลกาฬ"ทำท่าจะเสียเปรียบอยู่หลายครั้ง เมื่อแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามเห็น"นิลกาฬ"แบบนั้นจึงทำการรุกเข้าโจมตี"นิลกาฬ"แบบไม่ให้ตั้งตัวจนลืมสังเกตุไปว่า ดาบที่"นิลกาฬ"ใช้นั้นยังไม่ถูกดึงออกจากฝัก และในขณะนั้นเอง"นิลกาฬ"ได้โอกาสโจมตีโต้กลับฝ่ายตรงข้ามบ้างนั้นเป็นการโจมตีเพียงครั้งเดียวที่"นิลกาฬ"ใช้ดาบที่ยังไม่ได้ถูกถอดออกจากฝักโจมตีไปที่ฝ่ายตรงข้าม ผลของการโจมตีนั้นทำให้แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามกระเด็นออกไปจากผื้นที่ประลองทำให้กองทัพฝ่ายตรงข้ามเสียขวัญเป็นอย่างมากจึงพากันล่าถอยออกไปจากบริเวณนั้น ทำให้กองทัพฝ่ายที่ถูกช่วยไว้นั้นส่งเสียงโฮ่ร้องออกมาด้วยความดีใจที่ได้รับชัยชนะ
.
.
.
ภายในเมือง"เขาศิลา"หลังจากกองทัพได้รับชัยชนะ ทางเมืองก็ได้จัดงานฉลองชัยชนะขึ้น และ"นิลกาฬ"เองก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานฉลองนี้ด้วยเช่นกัน และในงานนี้เองที่พบกับแม่ทัพคนที่เขาได้ช่วยชีวิตเอาไว้อีกครั้ง แท้จริงแล้วแม่ทัพผู้นี้คือ"ท้าวพันตา"ผู้ปกครองเมืองเขาศิลาแห่งนี้นั่นเอง "ท้าวพันตา"ได้พา"นิลกาฬ"ออกมาที่ลานกว้างที่จัดงานแล้วประกาศแก่ทุกคนที่รวมงานว่า"พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ชัยชนะในครั้งนี้เราได้รับความช่วยเหลือโดยชายหนุ่มผู้นี้ รวมถึงชีวิตของข้าเองก็รอดมาได้เพราะถูกชายหนุ่มผู้นี้ช่วยไว้อีกเช่นกัน ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทดแทนอย่างไรได้อีกเช่นกันเพราะบุญคัณนี้ยิ่งใหญ่นัก นับแต่นี้เป็นต้นไป ชายหนุ่มที่ชื่อว่านิลกาฬผู้นี้จะมาเป็นบุตร์บุญธรรมของข้า นับตั้งแต่วันนี้และต่อจากนี้ต่อไป....."
.
.
.
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา"นิลกาฬ"ได้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของ"ท้าวพันตา"ผู้เป็นใหญ่แห่งเขาศิลา และได้รับตำแหน่งแม่ทัพในกองทัพหลวง และสร้างความดีความชอบมากมาย แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่ตัวเองต้องการได้ จนกระทั่งวันนึง"นิลกาฬ"ได้ถาม"ท้าวพันตา"ว่า"นายท่าน ท่านรู้จักคำว่า ทางเดินของชีวิตหรือไม่ขอรับ"เมื่อ"ท้าวพัยตา"ได้ยินดังนั้นก็ได้หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า"ลูกเอ๋ย คำๆนี้ไม่มีใครสามารถที่จะหาคำตอบที่แท้จริงได้หลอก มีแต่เจ้าของของคำนี้เท่านั้นที่จะรู้ความหมายของมันได้....ถ้าจะให้พ่อยกตัวอย่างนั้นก็ยาก แต่จะลองยกขึ้นมาสักตัวอย่างนึง อย่างตัวพ่อนี้พ่อเลือกที่จะทำให้ประชาชลของเราให้มีความสุขที่สุด และทำให้ดินแดนแห่งนี้ให้ดีที่สุดและดียิ่งกว่าดินแดนที่เสียไปเมื่อนานมาแล้ว สงครามของพวกเราจะได้สิ้สสุดลงเสียที.....นั่นคือสิ่งที่พ่อต้องทำให้ได้จนกว่าพ่อจะตาย พ่อเชื่อว่าแม้ว่าลูกจะยังหาคำตอบไม่ได้ในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้าลูกจะหาคำตอบคำนี้ได้ด้วยตัวของลูกเอง..."
.
.
.
ต่อมา"นิลกาฬ"ได้ออกรบกับ"ท้าวพันตา" แต่ทว่าในระหว่างการสู้รบนั้น "ท้าวพันตา"ได้พลาดท่าถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารในขณะที่"นิลกาฬ"นั้นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่สามารถข้าไปช่วย"ท้าวพันตา"ได้ทันสงครามจบลงโดยที่กองทัพของ"นิลกาฬ"และ"ท้าวพันตา"นั้นพ่ายแพ้ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง"นิลกาฬ"ได้ค่อยๆพาร่างที่บอบช้ำเข้ามาหาร่าที่ไร้ซึ่งวิญญาณของ"ท้าวพันตา" "นิลกาฬ"นิ่งอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับยกร่างไร้วิญญาณขอ"ท้าวพันตา"และร่างที่ไร้วิญญาณของไพร่พลของตนเองรวมถึงไพร่พลของฝ่ายตรงข้ามขึ้นมาวางเรียงกันและจุดไฟเผาตามลำดับ นิลกาฬได้มองดูเปลวไฟเหล่านั้นด้วยอาการสงบนิ่ง เขารู้ดีว่าสงครามนี้ไม่มีทางที่จะจบลงง่ายๆเขาจึงตัดสินใจที่จะไปในสถานที่แห่งหนึ่งจึงเดินออกสถานที่แห่งนั้นเมื่อไฟที่เผาศพเหล่ามอดดับลงแล้ว ส่วนทางเมือง"เขาศิลา"เมื่อรู้ข่าวว่ากองทัพของตนพ่ายแพ้และศูนย์เสียผู้ปกครองจึงพากันเสียใจกันไม่น้อย แต่ไมมีผู้ใดที่เสียใจไปกว่าผู้เป็นบุตรธิดาของ"ท้าวพันตา"ที่ต้องเสียผู้ที่เป็นบิดาแท้ๆและพี่ชายบุญธรรม
.
.
.
ทางด้าน"นิลกาฬ"เองก็ได้พาร่างที่บอบช้ำมาที่เมือง"สุดขอบฟ้า" ดินแดนที่เคยเป็นของพวก"คนตีนเขา"มาก่อน เมื่อมาถึงเขาก็ถูกทหารรักษาประตูเมืองขับไล่และทำร้ายร่างกายต่างๆแต่"นิลกาฬ"ก็ยังที่จะพยายามฝ่าไปให้ถึงหน้าที่พักอาศัยของผู้ที่เป็นใหญ่ในดินแคนแห่งนี้จนได้ และเมื่อเขามาถึงได้มีชายที่แต่งตัวเหมือน"องครักษ์"ออกมาขวางด้านหน้าและพูดกับ"นิลกาฬ"ว่า"คุณท่านกำลังรอท่านอยู่"และได้หันไปพูดกับทหารที่กำลังไล่ตามหลังนิลกาฬมา ว่า"หากมันผู้ใดยังบังอาจแตะต้องทำร้ายชายคนนี้อีกหละก็จะต้องโทษหนักสถานเดียว" สิ้นเสียเหล่าทหารที่กำลังไล่ตาม"นิลกาฬ"จึงพากันหยุดและไม่มีใครกล้าที่จะทำร้าย"นิลกาฬ"อีกเลย
.
.
.
หลังจากที่"องครักษ์"ได้นำ"นิลกาฬ"มาส่งถึงห้องโถงก็ได้เดินออกจากบริเวณนั้นไป ครู่ต่อมาได้มีชายคนหนึ่งแต่งตัวเต็มยศเดินออกมาจากด้านในแล้วพูดกับ"นิลกาฬ"ว่า"เรารอเจ้าอยู่นานแล้ว และเรารู้ด้วยว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลใด" เมื่อนิลกาฬได้ยินดังนั้นก็เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไปว่า"สูท่านผู้เป็นใหญ่แห่งดินแดนสุดขอบฟ้า ในเมื่อสูท่านรู้เหตุผลที่ตัวข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลใดแล้ว ตัวข้าก็จะไม่พูดในสิ่งนั้น ไม่ว่าท่านจะทำเช่นใดกับตัวข้านั้นก็สุดแต่สูท่านเถิด ขอเพียงสูท่านทำตามที่ตัวข้าต้องการ ตัวข้าก็ยินดีแล้วขอรับ….. "ชายที่เป็นผู้นำแห่ง"ดินแดนสุดขอบฟ้า"ได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ยิ้มก่อนจะพูดกับ"นิลกาฬ"ต่ออีกว่า"เช่นนั้นแสดงว่าเจ้าเตรียมใจมาดีแล้วสินะ เช่นนั้นข้าขอถามอะไรเจ้าสักอย่าง ว่าในตอนนี้ ยามนี้ เจ้าต้องการที่จะทำสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตขอเจ้า" "นิลกาฬ"ได้ตอบคำถามในทันทีว่า"ข้าแต่สูท่านผู้เป็นใหญ่แห่งดินแดนนี้ แม้นว่าในยามนี้ตัวข้ายังไม่สามารถจะตอบสูท่านได้ว่า สิ่งใดคือสิ่งที่ตัวข้าต้องการทำมากที่สุดสำหรับชีวิตตัวข้า แต่ในยามนี้ ตอนนี้ ข้าต้องกรทำในสิ่งที่ตัวสูท่านเองก็รู้ดีว่าตัวข้าต้องการที่จะทำในสิ่งใด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวข้า ตัวข้าก็ยินดี" ชายผู้ที่เป็นผู้นำแห่ง"ดินแดนสุดขอบฟ้า"ได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีกได้แต่ยิ้มน้อยๆเท่านั้น
.
.
.
วันเวลาผ่านไปชาวเมืองเขา"ศิลา"ต่างพากันแปลกใจเมื่อมีศาลจาก"ราชทูต"ที่ถูกส่งมาจาก"คนบนฟ้า"พร้อมกับหนังสือคืนกรรมสิทธิ์ คืนพื้นที่ทั้งหมดของ"ดินแดนสุดขอบฟ้า"ให้กลับเป็นของ"คนตีนเขา"ดังเดิม ในครั้งแรกชาวเมืองไม่ค่อยเชื่อเหล่า"ราชทูต"ที่มาส่งศาลจึงรวมตัวกันล้อมจับตัวเหล่า"ราชทูต"ที่มาส่งศาลนั้นไว้เป็นตัวประกันเพื่อรอคำตอบ "คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ มีแต่พี่ท่านเท่านั้น"
.
.
.
ในที่สุดเหล่าประชาชลของเมือง"เขาศิลา"และเมืองอื่นๆที่เคยอยู่ดินแดนแห่งนี้ ได้เดินทางมาถึง"ดินแดนสุดขอบฟ้า" ดินแดนที่พวกตนเคยอาศัยอยู่เมื่อนานมาแล้ว เมื่อมาถึงที่แห่งนี้ทุกคนได้นำเท้ากระดูกของคนในครอบครัวออกมาแล้วทำการฝังรวมกัน ณ ใต้ต้นไม้ประจำเมืองที่ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม
.
.
.
"เจ้าจะไม่เข้าไปหาพวกเขาสักหน่อยหรือ นั่นคือคนของเจ้านะน้องชาย" "องครักษ์"พูดกับ"นิลกาฬ" "นิลกาฬ"จึงตอบว่า "หน้าที่ของตัวข้าที่ทำเพื่อพวกเขานั้นจบแล้ว ถึงคราวที่ตัวข้าต้องทำตามที่ข้าต้องการบ้างแล้วขอรับ" "องครักษ์"จึงถาม"นิลกาฬ"ต่ออีกว่า "น้องชาย เจ้าจะไม่ไปกับพวกเราจริงๆแน่หรือ" "นิลกาฬ"จึงตอบอีกว่า "ขอรับ ตัวข้าแน่ใจ อีกอย่างคนที่รูปร่างหน้าตาที่ผิดแปลกไปจากพวกท่านเช่นตัวข้านั้นไม่คู่ควรกับแดนสวรรค์หลอกขอรับ" "องครักษ์"ยังถามต่ออีกว่า "แล้วสิ่งที่เจ้าต้องการที่จะทำ สิ่งนั้นคืออะไรหรือน้องชาย" "นิลกาฬ"จึงตอบออกไปว่า "ตัวข้าจะออกเดินทางสู่โลกกว้างอีกครั้งเพื่อค้นหาคำตอบของ ตัวข้าเอง ว่าตัวข้าต้องการทำสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตขอรับพี่ท่าน ฝากลาพ่อท่านด้วยนะขอรับ"
.
.
.
.
นับแต่นั้นเป็นต้นมาได้มีเรื่อเล่าขานต่อกันมาว่าเขาปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือผู้คนมากมายจากอันตรายและภัยร้ายต่างๆ และยังคงเดินทางตามหาคำตอบของการใช้ชีวิตของตนเองต่อไปจนกว่าจะพบคำตอบที่ตัวเขารอคอยมาอย่างยาวนาน
.
.
.
.
บทที่ 3 อินทรีเวหา
ณ ดินแดนตะวันออกอันห่างไกล ที่เมือง”สุวรรณโคม” ได้มีผู้กล้าหนุ่มผู้หนึ่งนามว่า “เดชา ยอดมัตตัย” ชายผู้นี้นับว่าเป็น”ผู้กล้า”ที่มีฝีมือที่สุดของเมืองแห่งนี้  ด้วยลักษณะนิสัยใจคอที่เด็ดเดี่ยวและกล้าหาญและรักในคุณธรรม จึงทำให้มีผู้คนมากมายทั้งภายในเมืองและผู้ที่อยู่ต่างเมืองชื่นชอบเขาและมักจะจ่างวานให้ไปทำงานให้ตนเสมอๆ และชื่อเสียงของเขานั้นดั้งไปถึงหูของชาวสวรรค์ผู้หนึ่ง นามว่า”ลูคัส” ที่กำลังต้องการหาผู้ที่จะมารับหน้าที่ตามหาต้นไม้แห่งภูตในตำนาน “มานา” แทนตนจึงส่งคนลงมาขอความช่วยเหลือจาก”เดชา ยอดมัตตัย”
.
.
.
  “แดนสวรรค์มีแต่ยอดฝีมืออยู่มากมาย ทำไมพวกท่านถึงได้เลือกคนบนโลกแถมยังเป็นคนเถื่อนเช่นข้าอีก พวกท่านคิดอะไรกันแน่” “เดชา”พูดกับตัวแทนของ”ลูคัส” ในครั้งแรก”เดชา”ได้ปฏิเศษตัวแทนที่”ลูคัส”ส่งมาขอความช่วยเหลือถึงสามครั้งและครั้งที่สี่นั้น”ลูคัส”ได้มาพบกับ”เดชา”ด้วยตัวเอง และเมื่อมาถึง”ลูคัส”ได้คุกเข่าขอร้อง”เดชา”ให้ช่วยตนตามหาต้นไม้แห่งภูตในตำนาน”มานา” “เดชา”นั้นตอนแรกก็คิดว่าจะปฏิเศษไปอีก แต่เมื่อเห็น”ลูคัส”คุกเข่าขอร้องขนาดนั้นแล้ว จึงไม่สามารถจะปฏิเศษได้ลง จึงถาม”ลูคัส”ว่า “ทำไมถึงได้ต้องการต้นไม้ต้นนั้นถึงขนาดมาคุกเข่าขอร้องข้าถึงขนาดนี้”  “ลูคัส”จึงตอบว่า “อีกไม่นานดินแดนของเรากำลังจะเกิดภัยร้ายครั้งยิ่งใหญ่จากสิ่งที่ชั้วร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมาก่อน มีแต่พลังของพวกภูตที่ถูกสร้างโดยต้นไม้ต้นนั้นเท่านั้นที่จะสามารถหยุดยั้งสิ่งชั้วร้ายนี้ได้”
.
.
.
หนึ่งเดือนหลังจากที่”เดชา”ยอมรับหน้าที่ตามหาต้นไม้แห่งภูตในตำนาน “มาน”า จาก”ลูคัส”แล้ว ก็ได้ออกเดินทางพร้อมกับ “มะลิ” สาวนักหาข่าวที่เป็นคนของ”พรรค์กระเบน”เช่นเดียวกับเขา และยังมี “ขาม” ชายผู้ที่เป็น”ผู้กล้าระดับตำนาน”ที่เป็นพี่ชายของ”มะลิ”และยังเป็นเพื่อนสนิดของ”เดชา”อีกด้วยร่วมถึง “ไพร” นักเล่นแร่แปลธาตุที่เป็นเพื่อนสนิดของ”เดชา”อีกคนหนึ่ง ส่วนทาง”ลูคัส”ก็ได้จัดส่งคนมีฝีมือมารวมกลุ่มกับ”เดชา”อีกสองคน “เอคทีฟ” หญิงสาวชาวสวรรค์ผู้ใช้เวทขั้นสูง จอมดาบ”ไซย์”  และ ร่วมถึง”แวมป์” ผู้ใช้สัตว์อสูร ทั้งหมดได้มุ่งหน้าสู่ดินแดน”ทะเลเหนือ”ตามข้อมูลทั้งหมดที่ได้รวบรวมมาก่อนหน้านี้
.
.
.
“เมื่อไรเราจะถึงที่หมายซะทีหละเดชา….ข้าเมาเรือนี่จะแย่อยู่แล้ว….”ไพรพูดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่บอกว่ากำลังเมาเรืออย่างเห็นได้ชัด เมื่อเดชากับเพื่อนอีกสองคนหันมาดูไพรก็ขำที่ไพรมีอาการเมาเรือแล้วบอกกับไพรว่า “ทำใจเถอะว่ะเพื่อนเอ่ย เราต้องอยู่บนเรือลำนี้อีกอย่างน้อยเดือนหนึ่ง กว่าจะไปถึงแผ่นดินทะเลเหนือ เพราะเรือธรรมดาจะเดินทางไปที่นั่นไม่ได้ง่ายๆ ก็เพราะทะเลในแถบนั้นปั่นป่วน แล้วก็ยังมีพวกสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลอยู่มากกว่าในที่อื่นๆของโลก แม้แต่พวกเราเองก็เข้าไปได้ยาก เราจึงต้องใช้เรือบินลำนี้ไงหละ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะและความเสียหายโดยไม่จำเป็นได้มากที่สุด ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหลอกเพื่อนเอ่ย เดี๋ยวก็ชิน….”หลังจากที่เดชาพูดกับไพรจบแล้วก็หันมามองที่กลุ่มชาวสวรรค์ที่”ลูคัส”ส่งมาแล้วพูดว่า”พวกท่านนี่ก็เก่งนะ มาอยู่บนเรือแบบนี้แต่ครั้งแรก แต่กลับไม่แสดงอาการเมาเรือเลย”
.
.
.
ในที่สุด เรือเหาะได้เดินทางเข้าใกล้เขตุทะเลเหนือ”เดชา”จึงสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะลงจอดและเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องฉุบเฉิน  และเมื่อเรือลงจอดเรียบร้อยแล้ว”เดชา”และทุกๆคนได้ลงมาจากเรือแล้วออกสำรวจบริเวณใกล้ๆกับเรือโดยรอบ แล้วได้ประชุมกันในเวลากลาคืนเพื่อหาทิศทางที่จะออกสำรวจตรงจุดที่แน่นอนในการค้นหาเป้าหมายในตอนเช้า รุ่งเช้าทุกคนได้รวมตัวกันและแบ่งเป็นกลุ่มย่อยผสมกัน เดชามะลิ ไซย์ มุ่งหน้าไปทิศเหนือ ไฟร แวมป์ แอคทิฟ และขาม มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก และตกลงกันว่า จะไม่เดินทางกลับเรือ จนกว่าจะหาต้นไม้ในตำนานพบ และถ้าหากใครพบเป้าหมายให้ส่งสัญญาณบอกตำแหน่งทันที
.
.
.
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงผ่านไปกลายเป็นวัน วันผ่านไปกลายเป็นอาทิตย์ ทุกคนก็ยังไม่พบวี่แววของต้นไม้ในตำนานเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งกลุ่มของ”เดชา”ได้มาหยุดอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลสาบแห่งหนึ่งจึงหยุดพักและหาเสบียงเพิ่มเติม”เดชา”ได้เดินแยกออกมาหาเสบียงอีกที่หนึ่งแถวบริเวณทะเลสาบ สายตาของเขาก็ได้เห็นชายแก่คนหนึ่งกำลังนั่งตกปลาอยู่บนโขดหินใกล้ๆกันกับเขา “เดชา”จึงเดินเข้าไปหาชายแก่แล้วพูดว่า”ผู้อวุโส ท่านอยู่ที่นี่หรือ”ชายแก่จึงตอบว่า”ใช่….ข้าอยู่ที่นี่ ว่าแต่เจ้าเถิดมาทำอะไรในที่แห่งนี้””เดชา”ได้ยินชายแก่ถามกลับดังนั้นก็ตอบไปอย่างไม่ปิดบังว่า”ข้ามาตามหาต้นไม้แห่งภูตมานาในตำนาน ผู้อวุโสรู้จักหรือไม่ขอรับ”ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดไปว่า”อีกแล้วหรือนี่ ตามหาต้นไม้นี่กันอีกแล้วหรือ””เดชา”ได้ยินชายแก่พูดแบบนั้นจึงร้องถามชายแก่ด้วยอาการร้อนรนว่า”ผู้อวุโส ท่านรู้จักที่อยู่ของต้นไม้ต้นนั้นหรือขอรับ ถ้าเช่นนั้นต้นไม้ต้นนั้นอยู่ที่ไหนหรือขอรับ”ชายแก่จึงตอบว่า”….ใช่….ข้ารู้ ถ้าหากว่าเจ้าต้องการต้นไม้แห่งภูตนั่นจริงๆข้าก็จะบอกว่าต้นไม้แห่งภูตนั้นอยู่ที่ไหน แต่เจ้าตอบคำถามข้ามาอย่างหนึ่งสิว่า เจ้ารักในสิ่งใดมากที่สุดในชีวิตเจ้า” “เดชา”จึงตอบว่า”สิ่งที่ข้ารักที่สุดของข้าก็คือพวกพ้องทั้งหลายของข้า รองลงมาคือบ้านเมืองของข้าขอรับผู้อวุโส”ชายแก่ได้ฟังดังนั้นก็ถามต่อไปว่า”หากเจ้าต้องศูนย์เสียสิ่งเหล่านั้นไป เจ้าจะทำเช่นไร” “เดชาจึงตอบไปว่า”หากเป็นบ้านเมือง ก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่หากชีวิตของคนที่เป็นพวกพ้องของข้านั้น…..มันก็ตอบยาก….”ชายแก่ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า”เป็นคำตอบที่ดี จงจำในสิ่งที่เจ้าพูดไว้ที่นี่ให้ดี จงรับสิ่งนี้ไปแล้วเจ้าจงมุ่งหน้าไปตรงใจกลางของทะเลสาบ แล้วเจ้าจะพบเกาะที่มีต้นไม้ต้นใหญ่ที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ที่นั่น เจ้าต้องไปที่นั่นเพียงลำพัง โดยใช้สิ่งที่ข้าให้แก่เจ้าเท่านั้นถึงจะเข้าไปในที่แห่งนั้นได้ มันคือชะตากรรมของเจ้า และเจ้าจงจำไว้อีกอย่าง แม้เจ้าจะศูนย์เสียกล่องดวงใจขอเจ้าไป แต่เจ้าจะได้รับการเยียวยาจากราชาแห่งพงไพร”
.
.
.
หลังจากที่”เดชา”ได้แยกทางกับชายแก่ลึกลับคนนั้นแล้วก็รีบใช้ของที่ชายแก่ให้มาแล้วรีบตรงไปยังเกาะกลางทะเลสาบตามที่ชายแก่คนนั้นได้บอกไว้ “เดชา”ได้เดินทางมาเรื่อยๆจนพบเกาะกลางทะเลสาบนั้นแล้วก็เตรียมจะเข้าไปภายในเกาะแต่กลับพบกับสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลจำนวนหนึ่งออกมาขวางหน้าเอาไว้”เดชา”พยายามที่จะหาทาที่จะไม่ต้องปะทะกับสัตว์ร้ายแห่งท้องทะเลเหล่านั้น แต่กลับพบว่าทุกหนทางเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเหล่านั้น หลังจากที่วนดูอยู่หลายรอบ”เดชา”จึงตัดสินใจที่จะบุกตีฝ่าไปด้วยตัวคนเดียว คิดดังนั้นแล้ว”เดชา”เริ่มเปิดฉากตีฝ่าเข้าไป หลังจากใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงสามารถเข้ามาภายในเกาะแห่งนั้นได้
.
.
.
หลังจากที่ใช้เวลาซ่อนตัวอยู่ภายในเกาะระยะหนึ่ง “เดชา”จึงเริ่มทำการค้นหาต้นไม้แห่งภูตในตำนานทันที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะส่งสัญญาณบอกตำแหน่งของตนให้คนอื่นๆรู้ จากนั้นได้เริ่มการค้นหาทันที เขาได้เดินเข้าไปจนถึงตรงใจกลาของเกาะกลาทะเลสาบเขาก็ได้พบกับต้นไม้ต้นต้นหนึ่งที่มีลำต้นใหญ่มากเท่าที่เขาเคยพบเห็น และเขาเห็นอีกว่าบริเวณโคนของลำต้นมีโผลงที่สามารถเข้าไปภายในได้ “เดชา”จึงตัดสินใจที่จะเสี่ยงดวงเข้าไปภายในโผลงของต้นไม้อีกครั้งหนึ่งซึ่งตลอดเวลาที่เขาเข้ามาบนเกาะกลางทะเลสาบนี้ เขาคิดอยู่ตลอดเวลาว่า”เราหันหลังกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ต้องไปต่อให้ได้เท่านั้น…..
.
.
.
ภายในโผลงของต้นไม้นั้น”เดชา”ได้พบเข้ากับลูกแก้วขนาดใหญ่ ลูกแก้วเหล่านั้นมีสีเหมือนเปลือกไข่มุก จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นข้างในได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในหรือไม่ หลังจากที่เดินดูเหล่าบรรดาลูกแก้วขนาดใหญ่ที่มีอยู่มากมายภายในต้นไม้ต้นนี้แล้ว เขาจึงลองสัมผัดกับลูกแก้วลูกหนึ่งดู ทันทีที่เขาแตะลงบนลูกแก้วได้มีสะเก็ดแสดงออกมาจากลูกแก้วใบนั้น และลูกแก้วใบนั้นได้แตกออกรวมถึงลูกอื่นๆต่อไปด้วย ทันใดนั้นได้ปรากฏร่างของชาย ญ ออกมาจากจุดที่ลูกแก้วเหล่า และได้มีเสียงของชายแก่ลึกลับคนนั้นดังขึ้นว่า”นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกนั้นคือคนของเจ้า จงจำไว้ให้ดีว่า หากเมื่อใดที่ภารกิจของเจ้าเสร็จสิ้น จงปล่อยให้พวกเขาเป็นอิสระ แล้วเจ้าจะพบแต่ความเจริญรุ่งรืองสืบต่อไป จงไปได้แล้ว” หลังจากที่เสียงของชายแก่ลึกลับผู้นั้นกล่าวจบ”เดชา”ได้ตะโกนถาตามหลังต่อไปว่า”ผู้อวุโส ท่านเป็นใครกันแน่….?!”แต่กลับไม่มีเสียงตอบใดๆกลับมาอีกเลย
.
.
.
หลังจากที่”เดชา”ไม่ได้คำตอบใดๆจากชายแก่ลึกลับคนนั้นแล้ว เขาคิดจะกลับไปที่ริมทะเลสาบแต่เมื่อเขามองดูเหล่าผู้มาใหม่ที่มีจำนวนมากกว่าที่ตัวเขาหรือเรือที่เขาขึ้นมาที่เกาะแห่งนี้ก็ไม่สามารถจะบรรณทุกทุกคนไปได้หมด เขาอุทานหลุดปากออกไปว่า”จะเอาออกไปหมดได้ยังไงนี่….ต้องใช้เรือที่ลำใหญ่กว่านี้….” พอเขาพูดจบ เกาะกลางทะเลสาบก็สั่นไหวเป็นการใหญ่กว่าเขาจะรู้ตัวอีกทีก็รู้ว่าเกาะกลางทะเลสาบทั้งเกาะกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และแท้จริงแล้วเกาะกลางทะเลสาบแห่งนั้นเป็นเรือขนาดยักษ์  ที่สามารถลอยอยู่บนอากาศได้ พอเขาได้สติเขาก็พูดขึ้นลอยๆว่า”ถ้ามันขยับไปข้างหน้าได้ก็ดีสิ…..”พูดจบเรือก็ขยับไปด้านหน้าจริงๆ
.
.
.
หลังจากที่”เดชา”ใช้เวลาในการทดสอบกลไกของเรือลำนั้นอยู่ เขาก็ยังได้ค้นพบอีกว่า เหล่าสิ่งของที่ชายแก่ลึกลับผู้นั้นให้มานั้น สามารถใช้ร่วมกับอาวุธในการต่อสู้ได้และยังสามารถช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้อย่างหน้าเหลือเชื่ออีกด้วย เมื่อเขาเดินทางมาถึงบริเวณริมฝั่งทะเลสาบ ตรงที่เขาเริ่มออกเดินทาง เขาได้ส่งสัญญาณติดต่อไปหาทุกคน และเดินทางไปที่จุดนัดพบกันนั่นก็คือที่เรือที่พวกเขาใช้เดินทางมานั่นเอง
.
.
.
และเมื่อ”เดชา”เดินทางมาถึงจุดนัดพบก็พบว่าทุกคนได้มารอกันอยู่พร้อมหน้า”ท่านหายไปไหนมา พวกเราห่วงกันแทบแย่”คือประโยคแรกที่”มะลิ”เอ่ยถาม”เดชา” “ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง……แต่ว่า ข้าคิดว่าข้า พบในสิ่งที่เราต้องการแล้ว”เขาพูดขึ้นพร้อมกับผายมือมาด้านหลัง แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะได้ดูก็มีเสียงๆหนึ่งดังออกมาจากบริเวณใกล้ๆกับเรือของพวกเขา”นายท่าน! นายท่านอยู่ที่ไหนครับ?!....” “เสียงนี้มัน ยิบมัน คนส่งสารณ์ไม่ใช้หรือ”ไซย์พูดขึ้นพร้อมกับหันไปมองหาที่มาของต้นเสียง เมื่อทั้งสองพบกัน คนส่งสารณ์ก็ได้พูดกับ”ไซย์”และทุกๆคนว่า”แย่แล้วครับนายท่าน! พวกขบฎอากอนนำกำลังมาปะทะที่วิหารของราชิณีแดงแล้วครับ!! กระผมเดาว่า พวกนั้นคงกำลังจะทำการปลุกให้ราชิณีแดงตืนขึ้นอีกเป็นแน่ เราควรทำอย่างไรดีครับนายท่าน!!??” “ราชิณีแดงงั้นหรือ!!”แอคทีฟได้อุทานขึ้น “ราชิณีแดง? มันคืออะไรงั้นหรือ?” ”ขาม”ได้ถาม”แอคทีฟ” “แวมป์”ซึ่งเป็นผู้ใช้สัตว์อสูรจึงอาสารับหน้าที่อธิบายให้กับทุกคนฟัง”ราชิณีแดงคือสิงมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนสวรรค์ ว่ากันว่า นางแค่ตนเดียวก็สามารถที่จะสร้างหายะนะให้กับเมืองสวรรค์หรือแม้กระทั่งโลกเบื้องล่างได้และสามารถสร้างรอยบอบช้ำให้กับโลกอย่างมหาสารเลยทีเดียว แต่ทว่านางกลับถูกสะกดโดยองครักษ์ ผู้เป็นบุตรชายของเจ้าสวรรค์รุ่นแรกโดยทำให้นางอยู่ในสภาพจำษิณธุและพันธนาการเอาไว้อย่างหนาแน่น และสถานที่ที่ใช้สะกดนางไว้และได้กลายเป็นวิหารในเวลาต่อมาเพื่อกักขังนางไว้อีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้นางออกมาสู่ภายนอกได้” “เราต้องขัดขวางขบฎพวกนั้น อย่าให้พวกนั้นปลุกนางได้!!” “ไซย์”พูดพร้อมกับยืนขึ้น”เดชา”ได้ยินดังนั้นก็ยินดีอาสาที่จะเข้าร่วมในศึกของชาวสวรรค์ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน จึงตกลงกันว่าจะนำคนที่รวบรวมมาได้ไปช่วยรบกับกองกำลังของ”ขบฎอากอน”และเมื่อ”ไซย์”รับคำขอของเดชาแล้วทั้งหมดก็มุ่งสู่แดนสวรรค์ทันที
.
.
.
เมื่อทั้งหมดเดินทางมาถึงแดนสวรรค์แล้ว”ไซย์”ได้แยกตัวออกไปเพื่อที่จะนำกองกำลังของตัวเองมาช่วยอีกแรงหนึ่ง และได้มอบหมายให้”แอคทีฟ”และ”แวป์”เป็นผู้นำทางไปสู่วิหารแห่งราชิณีแดง และเมื่อทั้งหมดได้มาถึงก็ได้เห็นกองกำลังของพวกขบฎมีจำนวนมากกว่ากองกำลังที่รักษาวิหาร “เดชา”จึงรีบนำกองกำลังของตนเข้าตีกับฝ่าย”ขบฏอากอน”ทันที หลังจากตะลุมบอลกันอยู่ครู่หนึ่ง”เดชา”ได้พละเข้ามาภายในวิหารเนื้องจากตัวเขามีความรู้สึกแปลกๆกับบางอย่างอยู่ภายในวิหาร และเมื่อเขาเข้าไปด้านในก็พบว่า”มะลิ”ได้ถูกชายคนหนึ่งจับตัวเอาไว้ได้ และทันทีที่ชายคนนั้นเห็น”เดชา”เข้ามาก็ไม่รีรอหรือมีคำพูดใดๆออกมาจากชายคนนั้น ชายคนนั้นได้ใช้ดาบแทง”มะลิ”อย่างเต็มแรงจนดาบทะลุอกของ”มะลิ”ออกมา”ไม่!!!!” ”เดชา”อุทานด้วยความตกใจ หลังจากนั้นชายแปลกหน้าคนนั้นได้ทิ้งร่างของ”มะลิ”ลงมาตรงหน้าของ”เดชา”แล้วหลังให้พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถฟังเข้าใจได้ “มะลิ….มะลิ ตื่นสิมะลิ!! ได้ยินเสียงข้าไหม อยู่กับข้านะ อยู่กับข้า !!!ตื่นสิ!!!” “เดชา”กอดร่างที่ไม่ไหวติงของ”มะลิ”ไว้แน่นพร้อมกับเรียกชื่อของเธอเพื่อหวังให้เธอพื้นคืนมา แต่ก็ไร้ผล
.
.
.
ทันใดนั้นได้มีการระเบิดขึ้นตรงผนังบริเวณที่ชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่ เมื่อ”เดชา”แหงนหน้าขึ้นไปดูก็เห็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดเดินออกมา และชายแปลกหน้าคนนั้นได้คุกเข่าลงกับพื้นและพูดว่า”ข้าคนรับใช้ของท่าน คนพวกนั้นคือคนที่จะมาทำลายล้างท่าน!!!”หลังจากที่ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดจบก็ถูกสิ่งมีชีวิดประหลาดตนนั้นจับยกขึ้นและฉีกร่างออกเป็นส่วนๆทันที หลังจากนั้นก็ได้เดินลงมาและตรงมาที่”เดชา”ทันที และเมื่อมาถึง”เดชา”จึงถามสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นออกไปว่า”เจ้าคือราชิณีแดงอย่างนั้นหรือ!?.
.
.
ทางด้าน”ไซย์”ได้นำกองกำลังเข้าตีกองกำลัง”ขบฎอากอน”จากทางด้านข้างของวิหารอย่างสุดความสามารถ จนสามารถตีกองทัพแนวหน้าของกองทัพขบฎแตกออกได้และบุกตีกองทัพหลักของกลุ่มกบฎต่อทันทีและสารมารถสังหารแม่ทัพของกลุ่มขบฎได้ในกองทัพหลักนั้น ฝ่ายขบฎเมื่อรู้ว่าแม่ทัพฝ่ายตนถูกสังหารแล้วนั้นก็พากันเสียขวัญและพากันหนีเอาตัวรอด กองทัพของไซย์ก็ไล่ตามคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่รอดถูกจับเป็นเฉลยศึกแต่ส่วนใหญ่ต่างพากันสิ้นชีพกลางสนามรบเพราะถูกปืนใหญ่ของไซย์ยิงใส่ในขณะวิ่งหนี ก่อนจะไปพบกับกองกำลังที่ดักซุ้มรออยู่ก่อนแล้ว
.
.
.
เมื่อสถานการณ์ภายนอกสงบลงเรียบร้อยแล้วไซย์จึงนำกำลังบางส่วนเข้าไปในวิหาร และเมื่อเขาเข้าไปถึงด้านในของวิหารเข้าได้พบกับเดชาและมะลิในอ้อมกอดของเขา และด้านหน้าของพวกเขาคือราชิณีแดงที่ตอนนี้ได้กลายเป็นศพเป็นที่เรียบร้อยแล้วนี่คือฝีมือของคุณหรือ เดชา?”แต่ไม่มีคำตอบใดๆจากเดชาเลย ไม่หน้าเชื่อ คุณคนเดียวจะสามารถสังหารอสรูร้ายตนนี้ลงได้จริงๆ ขนาดท่านองค์รักษ์ที่ว่ากันว่าเป็นยอดฝีมือแห่งสวรรค์ยังไม่สามารถที่จะสังหารอสรูตนนี้ลงได้!!!””แอคทีฟพูดด้วยความชื่นชม เดชา น้องสาวข้าเป็นอะไร?!””ขามถามเดชาด้วยความเป็นหว่างน้องสาวตนนางปลอดภัย ไม่เป็นไรแล้ว แต่ข้าขอโทษที่ข้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรหลานในท้องคนแรกของเอ็งได้……””เดชาพูดทั้งน้ำตา ซึ่งขามก็เข้าใจความรู้ศึกของเดชาผู้ที่เป็นเพื่อนรักเป็นอย่างดีจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก ได้แต่นั่งลงน้ำตาใหลอยู่เงียบๆไพรเองก็เสียใจด้วยเช่นกันที่ไม่ได้เข้ามาช่วยเดชากับมะลิได้ทัน ในที่นั้นมีแต่ความเศร้าสะหลด
.
.
.
หลายวันต่อมาอาการบาทเจ็บของมะลิดีขึ้นเธอพื้นขึ้นมาท่ามกลางความดีใจของทุกคน แต่เธอเองก็เสียใจมากที่เธอไม่สามารถช่วยชีวิตลูกน้อยที่อยู่ในท้องของเธอได้ เดชาและขามรวมถึงคนอื่นๆต่างพากันปลอบโยนเธออยู่หลายวันจนเธอทำใจได้และกลับมาเข้มแข็งดังเดิมอีกครั้งหนึ่ง
.
.
.
ผ่านไปหนึ่งเดือนลูคัสได้แต่งตั้งให้เดชาเป็นอินทรีสวรรค์และออกคำสั่งไปยังโลกเบื้องล่างว่าจากนี้ไป ชาวมัตตัยทุกคนไม่ใช่คนเถื่อนเฉกเช่นก่อน แต่เป็นผู้ที่มีความคิด อารยธรรม เช่นเดียวกันคนเมือง และชาวโลกทุกคนที่เจริญแล้วทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นเกียดติยศที่อาสาเข้าร่วมในสงครามครั้งสุดท้ายนี้ และยังสามารถให้เดชาขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างความจริง สิ่งที่ท่านประทามมานั้นก็มากพอแล้วขอรับ เมื่อท่านอนุญาติ ข้าใคร่จะขอให้ท่านช่วยปลดปล่อยเหล่าภูตที่มากับข้าให้เป็นอิสระด้วยเถอะขอรับ เพราะข้าได้รับปากกับผู้ที่ดูแลเหล่าภูตแล้วว่า หากภาระกิจทุกสิ่งทุกอย่างจบแล้วจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ” “ผู้ที่ดูแลภูตเหล่านี้คือใคร ชื่ออะไรหรือ?””ลูคัสถาม” ”ไม่ทราบขอรับ เขาไม่บอกว่าตนเองเป็นใครมาจากที่ใด เพียงแค่ให้สิ่งเหล่านี้แก่ข้าเพื่อเข้าถึงเหล่าภูตเหล่านั้น…..””เดชาได้หยิบเอาของทั้งหมดที่ชายแก่ปริศนามอบให้มาวางไว้ตรงหน้า ลูคัสเห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วจึงพูดว่าสิ่งของเหล่านั้นท่านจงเก็บไว้ให้ดี มันมีคุณค่าและคุณประโยชน์มากๆจนหาค่าไม่ได้ เรื่องดูแลโลกเบื้องล่างเราคงต้องรบกวนท่านด้วย เรารับคำขอของพวกท่าน ท่านจงพาเหล่าภูตเหล่านั้นไปในที่ที่พวกเขาควรอยู่เถิด””ขอบพระคุณเจ้าสวรรค์มากครับ ของทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่อนปี
.
.
.
4 ปีผ่านไป เดชาได้หวนคิดถึงในช่วงเวลานั้นถึงคำพูดของราชิณีแดงว่านั้นคือชื่อที่ผู้คนส่วนใหญ่เรียกเราแบบนั้น แต่หาได้มีใครรู้ชื่อจริงๆของเราเฉกเช่นเรื่องราวของเราเมื่อครั้งที่ยังใช้ชีวิตเช่นพวกเจ้า……”สิ่งมีชีวิตประหลาดตอบกลับ “หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ?” “เดชา”ไม่เข้าใจในคำพูดของราชิณีแดง “เราหมายความว่า ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นมนุษย์เช่นพวกเจ้าเมื่อนานมาแล้ว แต่เราต้องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ก็เพราะคนเสียสติที่ต้องการจะควบคุมทุกอย่างบนโลกเพียงเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าเราจะเป็นเช่นไร และคนคนนั้นก็คือพ่อของเราเอง…..สตรีนางนี้คือคู่ครองของเจ้าหรือ อยากให้นางรอดหรือไม่? เราสามารถช่วยได้แต่ชีวิตน้อยๆที่อยู่ในครรภ์ของนางนั้นเราไม่อาจช่วยได้แล้ว หากเจ้ายังลังเลก็จงปล่อยให้นางสิ้นชีพตามเด็กน้อยในครรภ์ของนางไปเถิดเพราะพลังชีวิตของนางเหลือน้อยเต็มที………..””เหตุใดเจ้าถึงต้องการช่วยเรา?!””เดชาถาม””เราช่วยตัวเราเองต่างหาก เราไม่อยากจะมีชีวิตในคราบของอสูรร้ายอีกแล้ว…….แล้วเจ้าจะช่วยคู่ครองของเจ้าไหม?””ช่วย!!””เดชาตอบกลับ เมื่อใดก็ตามที่เราใช้พลังหมด ร่างนี้จะไม่สามารถกลับมาใช้งามได้อีก และจะสลายไปในไม่ช้า เราจะหลอมวิญญาณและพลังงานทั้งหมดที่เรามี เข้าไปสู่ร่างของนาง จากนี้ไปเราและนางจะเป็นเพียงหนึ่งเดียว จงจำไว้ให้ดีว่าเมื่อไรที่นางเจ็บ เราก็เจ็บ และเมื่อไรที่นางสิ้นชีพ เราก็สิ้นชีพไปด้วยเช่นกัน และไม่ต้องกังวลว่าร่างนี้จะถูกเราสิงสู่ยึดครง นางยังคงเป็นนางคู่ครองของเจ้าเช่นเดิม แต่เมื่อใดที่เกิดอันตรายขึ้นกับนาง เมื่อนั้นเราจะออกมาปกป้องนางให้เจ้าเอง……” และแล้วทุกอย่างก็เริ่มขึ้นและสิ้นสุดลงในเวลาไม่นานนัก ไม่นานนักไซย์และคนอื่นๆก็พากันเข้ามาในวิหารจนไปพบกับเดชาอยู่ตรงที่นั้นเอง
.
.
.
ไม่นานนักเดชาได้ฝันว่าเมืองสุวรรณโคมถูกคลื่นลูกใหญ่ซัดเขาเมืองผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้ทะเล มันทำให้เขาสะดุ้งตัวตื่นแล้วนั่งคิดวิตกกังวลจนถึงเช้า ในที่สุดเขาก็นึกถึงคำทำนายของชายแก่ปริศนาที่ได้ทำนายไว้แก่เขา มันทำให้เขาไม่สบายใจนัก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้บอกกับมะลิว่ามะลิ ข้าคิดว่าเอ็งควรจะกลับไปเมืองของเอ็งก่อนเถอะ ข้าว่าอีกไม่นานนักเรื่องร้ายๆกำลังจะเกิดขึ้นกับเมืองๆนี้ แล้วตอนนี้เอ็งก็กำลังตั้งท้องอ่อนๆด้วย อย่างน้อย ก็ช่วยทำให้ข้าสบายใจหน่อยเถอะ ว่าพวกเอ็งจะปลอดภัย””มะลิเอง ถึงแม้จะไม่อยากไป  แต่ก็ต้องจำใจต้องไปเพื่อให้เดชาผู้เป็นสามีสายใจ หลังจากนั้นมาทั้งคู่ก็ไม่เคยพบหน้ากันอีกเลย มีเพียงจดหมายที่เขียนติดต่อกันเป็นระยะเท่านั้น
.
.
.
เวลาผ่าไป ในขณะที่เดชาเข้าไปในป่า  ระหว่างทางนั้นเองเขายินเสียงๆหนึ่งแววมาตามลม เมื่อเขาพยายามฟังมันดีๆก็รู้ว่ามันคือเสียงของเด็กที่กำลังร้องไห้อยู่กลางป่า เขาคิดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับครอบครัวของเด็กแน่ๆ จึงรีบวิ่งตามเสียงไป  แต่เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้กับต้นเสียงแล้ว เสียนั้นก็หยุดลงกลายเป็นเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขก่อนที่จะค่อยๆเงียบลงอีกครั้งียหนึ่ง เมื่อเขาหันมองซ้ายขวาเพื่อหาต้นตอของเสียงนั้นอีกครั้ง เขาก็ได้พบกับเด็กน้อยที่กำลังนอนหลับสนิดอยู่และใกล้ๆกันนั้นได้มีแม่เสือตัวใหญ่ตัวหนึ่งนอนอยู่ เมื่อมันเห็นเขาแม่เสือก็ได้ขู่คำรามใส่เดชาราวกับว่าแม่เสือกำลังปกป้องลูกน้อยของตัวมันเองไม่เป็นไรแม่เสือ ใจเย็นๆ ข้าไม่คิดจะทำอันตรายแม่เสือหรือเด็กน้อยคนนี้ ข้าเพียงแค่ต้องการอยากจะรู้ว่าแม่เสือไปนำเด็กน้อยผู้นี้มามจากที่ใดกัน หากครอบครัวของเด็กน้อยผู้นี้ไม่มีอยู่แล้วไซร้ ข้าใคร่ขอแม่เสือนำเด็กผู้นี้ไปเลี้ยงดูเป็นบุตร์บุญธรรม แม่เสือจะขัดข้องหรือไม่ประการใด? ราวกับแม่เสือฟังภาษามนุษย์เข้าใจ แม่เสือเดินถอยออกมาจากเด็กน้อยแล้วปล่อยให้เดชาอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแม่เสือไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรักและดูแลเด็กน้อยคนนี้เสมือนสายเลือดเดียวกับข้า และเหมือนที่แม่เสือคอยดูแลเด็กน้อยคนนี้ หากวันใดข้าผิดคำสัญญา วันนั้นขอให้แม่เสือเป็นผู้สังหารข้าเถิดเมื่อเขาให้คำหมั่นสัญญากับแม่เสือแล้ว แม่เสือได้คาบเอาห่อผ้ามามอบให้แก่เดชาก่อนที่จะเดินจากไปจนลับตา เมื่อเขาแกะห่อผ้าออกมาภายในเป็นดาบที่หักและด้ามที่ยาว ยาวกว่าดาบทั่วไปจนเขาคิดว่าบุคคลทั่วไปไม่สามารถใช้ดาบยาวทั้งใบดาบและด้ามแบบนี้ แม้เขาจะสงสัยกับดาบที่หักเล่มนั้นมาเท่าไรแต่ก็เก็บปริศนานั้นไว้แล้วนำเด็กน้อยเดินทางกับบ้านของตน
.
.
.

ไอ้หนู เอ็นนี่แปลกนะ ขนาดแม่เสือตัวนั้นยังไม่คิดจะกัดกินเอ็ง กลับรักเอ็นดูราวกับลูกแท้ๆของมันเอง เสือน่ะถูกยกย้องให้เป็นราชาแห่งป่าเขาเลยเชียวนะ ทั้งพละกำลังที่เหนือสัตว์ล่าเนื้อด้วยกันชนิดอื่นๆในแถบนี้จะเป็นรองก็แค่ช้างที่เป็นสัตว์กินพืชที่ตัวใหญ่กว่า แม้แต่เสียงคำรามเพียงครั้งเดียวยังสามารถทำให้ลิงที่อยู่บนต้นไม้สูงๆตกลงมาเป็นอาหราก็ยังได้ ถึงแม้ลวดลายของมันจะสวยก็เถอะ แต่ก็นะขนานเสือแก่ๆยังหาผู้ที่กล้าตอกรกับมันซึ่งๆหน้าแถบจะไม่มีเลยเลยแล้ว……….อ๋อใช่แล้ว!! ข้านึกออกแล้วชื่อขอเอ็ง พยัคฆ พยัคฆที่แปลว่าเสือไง ต่อไปนี้เอ็งชื่อว่าพยัคฆ ขอต้อนรับสู่พรรค์กระเบนนะพยัคฆลูกพ่อ!!