วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Hide death หลบ ซ่อน ตาย

#หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหา ความรุนแร และภาษาที่ไม่เหมาะสม ผู้รบชม(อ่าน)ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ(และควรมีผู้ปกครองอยู่ใกล้ๆ)
.
.
.
.
ณ.เชิงเขาบริเวณภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น
"บรื่อนนน..." "เอี๊ยดดด"
??:"เอาหละ ถึงแล้ว นี่น่ะหรือคฤหาสน์ร้างที่เธอบอกสินะ มาริสะจัง"ชายคนขับรถถามผู้หญิงที่นั่งเบอะข้างคนขับ
มาริสะ:"ใช่! ที่นี่แหละ ไม่ผินแน่ คฤหาสน์ร้างที่มีคนเล่าลือว่า ผู้ที่เข้ามาแล้วน้อยคนที่จะกลับออกไป!"
??:"นี่ นี่! รู้อย่างนี้แล้วเรายังจะมาที่นี่กันอีกหรือ.....?"ชายหนุ่มอีกคนก้าวออกมาจากรถตู้ได้พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
??:"ฮ่าฮ่าฮ่า!! นี่เรายังไม่ทันเข้าไปข้างในกันเลยนะ ปอดแหกแล้วหรอ โคบายาชิคุง?!!"ชายหนุ่มที่ขับรถได้พูดหยอกล้อเพื่อนที่หน้าตาซีดเผือด
โคบายาชิ:"กะ ก็นายลองมาเป็นอย่าชั้นดูสิ! ไยบะ!!"
"ปั่ก"
ชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ด้านหลังได้ตบไหล่ของโคบายาชิและพูดว่า
??:"เอาน่า....มันก็แค่ข่าวลือเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรหลอก"
โคบายาชิ:"มงคลซัง....คนไทยอย่างคุณคงจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดีสินะครับ...."โคบายาชิได้พูดกับชายหนุ่มที่เข้ามาตบไหล่ของเขา
มาริสะ:"แล้วเธอหละ ยูมิ รู้สึกยังไงบ้างกับที่นี่?"มาริสะได้ถามหญิงสาวอีกคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
ยูมิ:"........อืมก็นะ....."ยูมิตอบมาริสะแค่นั้น
มาริสะ:"งั้นหรือ....."
??:"เดี๋ยว!เดี๋ยว! นี่ทุกคนลืมฉันไปแล้วหรือ??!"มีเสียงเสียงนึงดังขึ้นมาจากท้ายรถ และในที่สุดหญิงสาวร่างเล็กก็ได้ออกมาจากท้ายรถ
ไยบะ:"อ้าว?! ลืมไปเลยนะนี่ ว่าเรามีคนคนนี้อยู่ด้วย?! ไอจัง...."
ไอสุ:" ทำไมถึงชอบทำเป็นลืมฉันทุกทีเลยอ่าาา!!"
มงคล:"หืมม์!?"มงคลได้ร้องขึ้นพร้อมกับหันหน้าขึ้นไปมองตรงหน้าต่างชั้นสอง
ยูมิ:"มีอะไรหรือคะ มงคลซัง?"ยูมิถามมงคลที่ยังมองอยู่บริเวณหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์
มงคล:".....เอ่อ อ๋อ ไม่มีอะไร แค่ลมพัดผ้าม่านน่ะ..."มงคลตอบ
โคบายาชิ:"ยะ อย่าทำกันแบบนี้สิครับ มันรู้สึกไม่ค่อยดีนะครับ!!"โคบายาชิพูด
มงคล:"ฮะ ฮะ โทษที โทษที.....(แต่เมื่อกี้มันไม่ใช่ลมพัดผ้าม่านนะโว้ย)"
.
.
.
.
ในที่สุดทั้ง 6 คนได้เข้าไปภายในตัวคฤหาสน์โดยมีไฟฉายคลละกระบอกเท่านั้น จากนั้นมาริสะได้บอกทุกคนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา
มาริสะ:"ขอให้ทุกคนเปิดโหมด GPS บอกตำเเหน่งด้วยนะ เผื่อเกิดว่ามีใครคนใดคนนึงเกิดพลัดหลงกันระหว่างทาง จะได้หากันเจอ"
ไยบะ:"ฮ่าฮ่า ถ้าหากมีคนหลงทางหละก็ คงเป็นเจ้าตาขาวแน่ๆ"ไยบะพูดพร้อมกับมองมาทางโคบายาชิ
มาริสะ:"พอทีเถอะน่า โคบายาชิคุง"มาริสะดุไยบะ
ทันใดนั้น
"เพล้ง!!"
โคบายะชิ:"นั่นเสียงอะไรน่ะ!!?"โคบายาชิอุทานด้วยความตกใจ
ไอสุ:"เสียงจานแตกนี่!!"ไอสุพูด
ไยบะ:"โคบายาชิ นายลองเดินไปดูสิ"ไยบะบอกกับโคบายาชิให้เดินไปดูที่ต้นเสียง
มงคล:"ชั้นไปดูให้เอง"มงคลพูดขึ้นพร้อมกับกำลังจะเดินไปที่ต้นเสียงที่อยู่ห่างออกไปอีกสองห้อง
ยูมิ:"มงคลซัง ระวังด้วยนะคะ"ยูมิบอกกับมงคลด้วยความเป็นห่วง ส่วนมงคลก็ได้แต่ยิ้มแล้วหันหลังออกไปตามทางต้นเสียง
ไยบะ:"หมอนี่มันกล้าดีแฮะ งั้นเราเอาแบบนี้กันดีกว่านะ!"ไยบะพูดขึ้นพร้อมเสนอความเห็น
.
.
.
.
ทางด้านของ"มงคล"หลังจากแยกตัวออกมาแล้วได้ตรงไปทางต้นเสียงที่เชื่อว่าเป็นเสียงจานแตกดังออกมา และเมื่อเขาเดินมาถึงปรากฏว่าห้องนั้นเป็นห้องครัว แล้วพยายามส่องไฟฉายเพื่อหาต้นต่อของเสียงจานแตกบริเวณพื้น เมื่อฉายไหออกไปบริเวณิมุมห้องเขาก็พบกับจานที่แตกจริงๆแต่แปลกตรงที่มันมีรอยของเลือดเปื้อนอยู่!? แต่เมื่อเขากลับออกมา
มงคล:"หายไปไหนกันหมด!!?"
.
.
.
เมื่อเขาสำหรวจบริเวณใกล้ๆแล้วแต่ไม่พบใครเลย?! เขาคิดอยู่ครู่นึงก็นึกถึงคำพูดของ"อาริสา"ได้ว่าให้ทุกคนเปิดระบบบอกตำแหน่งของโทรศัพท์ของแต่ละคน เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดดูตำแหน่งของทุกคนกลับอยู่ห่างออกไปคนละทิศทางมีเพียง"ยูมิ"เท่านั้นที่อยู่ใกล้ที่สุด คือบนหอคอยชั้นบนบนหัวของเขานั่นเอง เขาจึงตัดสินใจไปหายูมิก่อนที่จะไปตามหาคนอื่นๆ
.
.
.
"กรี๊ดดดดด!!!!?"
ในขณะที่เขากำลังวิ่งขึ้นชั้นบนเพื่อไปตามหายูมินั้นเอง
มงคล:"ยูมิ!!!??"มงคลอุทานขึ้นแล้วหันมาดูตำแหน่งของยูมิบนโทรศัพท์"หลืออีกแค่ 240 เมตร!!"
เมื่อเขามาถึงเขาได้สาดไฟฉายหายูมิพร้อมกับเรียกชื่อเธอ
มงคล:"ยูมิ!! เธออยู่ตรงไหน??!"แต่ไม่มีเสียงตอบเขาจึงพยายามฟังเสียงพร้อมกับดูตำแหน่งของเธอไปด้วยจนหาตัวเธอพบ
มงคลพบยูมินั่งกอดเข่าเอามือกุมหัวตัวเองด้วยความกลัว และเมื่อเธอพบกับมงคลเธอโผเข้ากอดพร้อมกับร้องไห้ทันที
มงคล:"ทำใจดีๆไว้ ชั้นอยู่นี่แล้ว ไหนบอกสิว่าทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้"มงคลถามยูมิ
ยูมิ:"ไยบะคุง....บอกว่าให้เราแยกกันเดินสำรวจ....พอฉันรู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้คนเดียวและ..."ยูมิตอบ มงคลนั้งนิ่งอยู่ครูนึงแล้วพูดกับยูมิว่า
มงคล:"จำที่ชั้นเคยสอนได้ไหม ว่าเวลาแบบนี้ต้องตั้งสติให้ดีๆไม่งั้นจบเห่แน่ๆ"มงคลพูดจบเเล้วมองยูมิอีกครั้งนึงแล้วถามเธออีกครั้ง
มงคล:"ยูมิ เธอเชื่อใจชั้นไหม....?"คำถามของมงคลทำให้ยูมินิ่งไปครู่นึงก่อนจะพยักหน้าตอบ
มงคล:"ดี งั้นเอาไฟฉายของชั้นไป จำไว้ไว้ว่าเปิดใช้เฉพาะจำเป็นเท่านั้นนะ และจำไว้อีกว่าห้ามส่งเสียงอะไรออกไปถ้าไม่จำเป็น ถ้าจะเรียกหละก็ฟังให้ดีซะก่อนว่าใช่พวกเราหรือเปล่าว และอีกอย่างนึงคือ ถ้าหากเกิดผิดพลาดอะไรหละก็​ ให้ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้...."มงคลบอกกับยูมิ เเละทำท่ากำลังจะเดินออกไปจากห้อง
ยูมิ:"มงคลซัง นั่นคุณกำลังจะไปไหนคะ!?"ยูมิรีบร้องทัก
มงคล:"กำลังจะไปหาคนอื่นต่อ...."มงคลตอบ
ยูมิ:"ตะ แต่คุณไม่มีไฟฉายนี่นะคะ...."ยูมิรู้ดีว่าไม่สามารถห้ามมงคลได้ในเรื่องตามหาคนอื่นๆ แต่เธอสงสัยว่าทำไมถึงไม่เอาไฟฉายไปด้วย
มงคล:"ไฟฉายนั่นชั้นให้เธอใช้ ไม่ต้องห่วงชั้นหลอกน่า ชั้นฝึกมาแล้ว อีกอย่างคืนนี้เดือนหงาย ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฉายชั้นก็ยังมองเธอเห็นชัดแจ๋ว"มงคลพูดจบแล้วเดินออกมาจากห้องนั้นทันที
มงคล:"อีกอย่างชั้นอยากจะดูอะไรหน่อย..."

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เมื่อผมยังเด็ก(เรื่องเล่า จากประสบการณ์จริง)

ประสบการณ์เฉียดตาย

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน วันนี้ผมมีประสบการณ์เฉียดตายของตัวผมเอง จะมาเล่าให้ฟังครับ 
สมัยตอนที่ผมยังเป็นเด็ก อายุราวๆ 3-6 ขวบนั้น ผมได้พบกับอุบัติเหตุที่คิดว่าร้ายแรงที่สุดถึง  3 ครั้ง

ครั้งที่ 1. ไฟดูด

คือในช่วงนั้น พ่อของผมได้ทำการก่อสร้างฟาร์มไก่เนื้อเสร็จใหม่ๆ ผมและญาติๆ ได้ช่วยกันขนของที่จำเป็น เอามาไว้ในบริเวณที่จะสร้างเป็นที่พัก จำได้ว่า ทางเดินตรงนั้นจะมีสายไฟอยู่เส้นหนึ่ง ที่มันพาดตรงข้ามสองข้างทางพอดี ความสูงนั้นประมาณต้นคอของเด็กอายุประมาณ 4-5 ขวบ ซึ่งถือว่าอยู่ต่ำมากๆ แรกผมกับ(เด็กๆ)คนอื่นๆก็ก้มผ่านกันได้แบบปกติดีอยู่หรอกครับ แต่ว่า จำได้ว่าช่วงนั้นของที่ขนมาใกล้จะหมดแล้ว ผมกับคนอื่นๆจึงรีบช่วยกันยกของกันอีกเป็นครั้งสุดท้าย แล้งมีอยู่จังหวะนึงที่ผมเอามือไปจับสายไฟเส้นนั้นเข้าด้วยความอะไรผมไม่รู้ แต่มันทำให้ผมถูกกระแสไฟฟ้าดูดจนเท้าลอยสูงขึ้นจากพื้น ไม่รู้ว่าผมโชคดีหรือเปล่า ที่ช่วงนั้นผมไม่ได้ใส่รองเท้า และพื้นดินตรงนั้นเปียก เพราะฝนเพิ่งจะตกลงมาเมื่อคืนก่อน และที่สำคัญคือ ผมไม่ได้กำสายไฟเส้นนั้นเอาไว้จนแน่น
ในที่สุดตัวผมก็ถูกแรงไฟฝ้า(หรือเปล่า)ดีดออกมา ผมจำได้ว่าแม่ผมเข้ามาหาผมเป็นคนแรก ก่อนที่ผมจะค่อยๆลุกขึ้นนั่งอย่างงงๆว่า เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น มือของผมพองเพราะกระแสไฟฝ้า แต่ผมรอดมาจากเหตุการนั้นมาได้ แต่ในจิตรใต้สำนึกของผมในบางส่วน จนถึงตอนนี้ มันมีอยู่วูบหนึ่งที่ผม เห็นทุกคนกำลังรอบรอบดูตัวผมที่กำลังนอนอยู่บนตักแม่ของผมอยู่

ครั้งที่ 2. ตกรถมอเตร์ไซค์

ในช่วงนั้น ผมมักจะติดรถยนต์ของลุงและผมไปในตลาดอยู่เป็นประจำ เนื่องจากที่ผมเป็นน้องเล็กที่สุดในบ้านตอนนั้น(ตอนนี้ไม่ใช้แล้ว) แถมตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนด้วย จึงมีสิทธิที่จะตามแกสองคนไปไหนก็ได้เพราะไม่มีคนดูแล 
ผมจำได้ว่า ตอนนั้นผมไม่สบายบ่อยมากๆ ลุงของผมจึงพาผมไปที่คลีนิคแห่งหนึ่งในตำบลใกล้ๆ พอผมได้รับการรักษาแล้ว ลุงของผมจึงพาผมกลับบ้าน โดยที่ผมนั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์อยู่หน้าสุดบริเวณตัวถัง ถัดมาก็จะเป็นลุงของผมซึ่งเป็นคนขับ และต่อมาคือป้าของผมที่นั่งซ้อนท้าย เท่ากับว่ารถมอเตอร์ไซค์เก่าๆคันนี้มีผู้โดยสารอยู่ 3 คน คือผม ลง และป้า พอลุงของผมขับรถมาถึงจุดที่เป็นสำนักสงค์แห่งหนึ่ง บริเวณนั้นถนนจะเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมากๆ ลุงของผมก็ค่อยๆขับผ่านไปตามปกติ จนกระทั่งลุงผมท่านก็พลาด ขับรถตกหลุมจนได้ แม้ว่าแก่จะประคองรถไม่ให้ล้มได้ แล้วป้าท่านก็ช่วยใช้ขาของท่านคำเอาไว้อีกแรงนึง แต่ตัวผมนั้นตกลงมาข้างล่างแล้วกลิ้งลงข้างทางไป ลุงกับป้าของผมดูท่านตกใจเอามากๆ ลุงผมทำท่าว่าจะรีบลงมาดูผมพร้อมกับป้า แต่ผมในตอนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปหาพวกท่านที่รถด้วยอาการสลึมสลือเพราะฤทธิ์ยากับพิษไข้ เมื่อลุงกับป้าผมเห็นผมไม่มีบาดแผลอะไรเลยท่านก็แปลกใจกันอยู่บ้าง แล้วพวกท่านก็พาผมกลับมายังที่บ้าน
ภายหลังจากนั้น พอผมถามถึงเรื่องนี้ พวกท่านมักจะตอบว่า"แม่ซื้อ"ท่านช่วยผมเอาไว้ ผมจึงไม่ได้รับบาทเจ็บอะไรเลย 
ตามความเชื่อแล้ว "แม่ซื้อ"คือเทพ หรือ เทวดา(และผี) ประเภทหนึ่ง ที่มีหน้าที่คอยปกปักรักษาเด็กๆ เชื่อว่าเด็กทุกคนที่เกิดมาต้องมีแม่ซื้อประจำวันเกิดคอยดูแล เพื่อปกปักรักษาไม่ให้เด็กเจ็บไข้ได้ป่วย 
ในภาคอิสารหรือภาคกลางก็ยังจัดทำพิธีแม่ซื้อ หรือพิธีการนำเด็กทารกมาใส่กระด้งร่อน เพื่อบอกกล่าวแก่ แม่ซื้อว่ามีคนรับลูกไปเลี้ยงแล้ว โดยกล่าวให้ทราบว่าว่า“สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใคร ใครเอาไปเน้อ”
ส่วนในภาคเหนือ “แม่ซื้อ” จะหมายถึงเทวดาที่คุ้มครองเด็กแรกเกิดหรือเป็นเทวดาประจำตัวทารก ซึ่งก็จะมี 7 นาง แต่ละนางก็จะมีชื่อเรียกและการแต่งกายคล้ายกับทางภาคกลางที่กล่าวข้างต้น
สำหรับภาคใต้ “แม่ซื้อ” เป็นสิ่งเร้นลับที่อยู่ในความเชื่อของชาวบ้าน ไม่มีตัวตน จะมีฐานะเป็นเทวดาหรือภูตผีก็ไม่ปรากฏชัด ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของทารกตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 12 ขวบ มีด้วยกัน 4 ตนเป็นผู้หญิงชื่อ ผุด ผัด พัดและผลแต่ในบททำขวัญเด็กของนายพุ่ม คงอิศโร หมอทำขวัญจังหวัดสงขลา กล่าวว่าแม่ซื้อมีทั้งชายและหญิงดังบททำขวัญที่ว่า “แม่ซื้อสี่คน ชื่อเสียงชอบกลทั้งหญิงทั้งชายเพ็ดทูล เพ็ดพล่าน เพ็ดทนเพ็ดทาน อาจารย์กดหมาย เรียกว่าปู่ตา รักษาร่างกาย แม่ซื้อผู้ชาย เร่งคลายออกมา นางกุมารี นางเอื้อย นางอี นางนาฏสุนทรี ที่เฝ้ารักษา เชิญมาแม่มา บูชาส่าหรี” ส่วนในบททำแม่ซื้อของนายปาน เพชรสุวรรณ จังหวัดนครศรีธรรมราชบอกว่า “แม่ซื้อ” เดิมเป็นเทพธิดา พระอิศวรมีบัญชาให้ “อันตรธานหายกลายเป็นแม่ซื้อ ลงมารักษาทารก” ตามความเชื่อ แม้ว่าแม่ซื้อจะถือว่าเป็นพี่เลี้ยงทารกก็จริงอยู่ แต่บางครั้งก็ให้โทษได้เช่นกัน มีการแปลงเพศพันธุ์เป็นสิ่งต่างๆหลอกหลอนให้ทารกตกใจ หรือเจ็บป่วยได้ ดังนั้น เพื่อให้ทารกหายเป็นปกติ จึงมีการจัดพิธี “ทำแม่ซื้อ”หรือ “เสียแม่ซื้อ”ขึ้น บางครอบครัวแม้ทารกจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ยังทำพิธีดังกล่าวอยู่ดี ทั้งนี้ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่เด็ก สำหรับพิธี”ทำแม่ซื้อ” หรือ “เสียแม่ซื้อ”นั้นหมายถึงพิธีกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้เด็กทารกหายจากอาการสะดุ้งผวา หรือการเจ็บไข้ได้ป่วย และได้รับการดูแลรักษาด้วยดีจากแม่ซื้อการทำพิธีมักจะทำในวันเกิดของเด็ก หากเป็นวันข้างขึ้นก็ให้ใช้วันคี่ ข้างแรมให้ใช้วันคู่

ครั้งที่ 3. จมน้ำตอนปี 38

ในช่วงปี 2538 ทุกคนรู้ดีว่า ภาคกลางนั้นน้ำท่วมหนัก(แต่ไม่เท่าปี 54) และบ้านของผมเองก็เช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนั้น ผมเองก็น่าจะอยู่ร่าวๆ อนุบาล 1-2 แล้ว บ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้น พื้นที่บ้านมีสภาพเป็นแอ่งกระทะครับ ช่วงนั้นผมกับลูกพี่ลูกน้องต้องพายเรือจากบริเวณบ้านไปยังถนน ที่เป็นพื้นที่สูงกว่า เพื่อที่จะเดินทางไปยังโรงเรียน ซึ่งผมก็ใช้ชีวิตไปตามปกติเหมือนเด็กคนอื่นๆทั่วไป จนกระทั่งวันหยุดวันหนึ่ง ผมกับลูกพี่ลูกน้องได้ลงเล่นน้ำกันตรงบริเวณบ้านกัน พวกเราก็เล่นน้ำกันก็เล่นน้ำกันตามปกติครับ เพราะน้ำมันไม่ลึกมากครับ จนถึงช่วงที่พวกจะขึ้นจากน้ำกัน ทุกคนขึ้นกันไปหมดแล้วครับ เหลือแต่ผมที่อยู่ลั้งท้าย พอผมกำลังเดินไปเพื่อจะขึ้นจากน้ำผมก็สะดุดอะไรซักอย่าง ทำให้ผมล้มลงและจมลงไปในน้ำ แม้น้ำจะไม่ลึกมากแต่ผมในตอนนั้นยังไหว้น้ำไม่เป็น และกำลังตกใจมากๆว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมในตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตะเกียกตะกายตามสัญชาติญาณการเอาชีวติรอดไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งในที่สุด มือของผมก็ไปสำผัสกับอะไรบางอย่าง มันทำให้ผมมีหลักยึดและตะกายขึ้นมาจากน้ำได้ในที่สุด มันคือเสาบ้านครับที่ช่วยชีวิตของผมเอาไว้ เมื่อผมขึ้นไปบนบ้าน เจ้าลูกพี่ลูกน้องของผมพอเห็นหน้าผมมันก็ทำหน้างงๆกันครับ คงจะสงสัยว่าทำไม ผมถึงได้ขึ้นจากน้ำมาเอาป่านนี้ เรื่องนี้ คนในบ้านไม่มีใครรู้หรอกครับ เพราะผมไม่เคยเล่าให้คนในบ้านฟัง 
แต่อยากจะขอเตือนน้องๆที่ชอบเล่นน้ำกันนะครับ ว่าการเล่นน้ำการตามลำพังหรือกับเพื่อน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเสี่ยง ถ้าจะให้ดีควรมีผู้ปกครองหรือพวกพี่ๆที่โตแล้วอยู่ด้วย จะเป็นการดีที่สุด และที่สำคัญคือ เราควรจะขออนุญาตผู้ปกเสียก่อนนะครับ ไม่ควรหนีผู้ปกครองออกไปเล่นน้ำโดยพละการ เพราะบางที น้องๆอาจจะไม่โชคดีแบบนี้ก็ได้

ครับ แล้วนี่ก็คือ ประสบการณ์ของผม ที่อยากจะท่ายทอดให้เพื่อนๆได้รับฟังกันครับ
ขอบคุณมากๆครับ


วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

(นิยาย)ปลาปีศาจ

ชีวิตอันแสนเงียบสงบของหมู่บ้าน บริเวณของสองฟากฝั่งแม่น้ำ กำลังค่อยๆถูกทำลายลงอย่างช้าๆ เพราะภายใต้พื้นน้ำนั้นมีบ้างสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ มันมีขนาดใหญ่โต และมัน ถูกสร้างขึ้นมาโดยที่ธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็น และมัน กำลังจับจ้องมองขึ้นไปบนผิวน้ำ ที่ทุกชีวตที่อยู่บนผิวน้ำไม่รูปเลยว่า ปีศาจในร่างของสัตว์ กำลังเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมพวกเขาได้ โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว ว่านั่น คือโอกาสสุดท้าย ที่จะยังมีลมหายใจ ก่อนที่มันจะฉุดร่างเหล่านั้นลงไปพบกับ"คมเขี้ยวแห่งความตาย"
.
.
.

๑.เหยื่อ
"เฮ้ย! มาถึงนานแล้วเหรอ?"เสียงชายหนุ่มตะโกนทักทายกับชายอีกคนหนึ่ง
"เอ่อ....ก็สักพักใหญ่ๆแล้วว่ะ"ชายหนุ่มอีกคนตอบกลับ แล้วพูดต่อไปว่า"มาตั้งนานแล้ว ปลาไม่ยักจะพุดขึ้นมาให้ยิงสักตัว...."
"ตรงนี้อาจจะไมมีตัวก็ได้มั้ง งั้นข้าไปลองดำดูตรงโน้นล่ะกัน"ชายอีกคนพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปยังอีกจุดหนึ่ง"เอ่อได้สิ ถ้ายังไงก็เรียกข้าด้วยนะโว้ย ถ้ามันมีตัว!"ชายหนุ่มอีกคนพูด ก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับแล้วเดินออกไป
ครู่ต่อมา หลังจากที่ทั้งคู่แยกออกไปอีกจุดนึงแล้วนั้น ชายที่ยืนยิงปลาอยู่บนสะพานก็ได้เห็นกับสิ่งที่ผิดปรกติบนผิวน้ำ
"ตูม" เสียงน้ำแตกกระจายเป็นวงกว้าง "อะไรวะนั่น!?"ชายหนุ่มอุทานขึ้น เมื่อเขาได้เห็นกับเงาขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายกับปลา ที่ค่อยๆว่ายผ่านหน้าเขาไปและเงานั้นก็ค่อยๆจมหายลงไป ปรากฎเป็นฟองน้ำพุดขึ้น ราวกับว่า มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่ก้นแม่น้ำแห่งนี้
"เอ็งดูอะไรของเอ็ง อยู่วะ?"เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจนเขาสะดุ้งตกใจ"....โธ่ ไอ้มาฑ! มาไม่ให้สุ่มให้เสียง ตกใจหมด!"ชายหนุ่มพูดขึ้น"อะไรวะ ข้าก็มายืนอยู่ตั้งนานแล้วนะ! ว่าแต่เมื่อกี้เอ็งดูอะไรอยู่วะไอ้เตี้ย? เห็นจ้องอยู่นานสองนาน"มาฑ เอ่ยถามเตี้ย ผู้เป็นเพื่อน".....ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ว่าข้ารู้สึกไม่ค่อยดีเลย"เตี้ยตอบพร้อมกับทำหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก"เป็นอะไรไปวะ ทำหน้าอย่างกับใครเป็นอะไรอย่างนั้นแหละ?"มาฑถามขึ้น เมื่อเห็นเตี้ยผู้เป็นเพื่อนทำสีหน้าไม่สบายใจ".....ข้าว่า พวกเราไปดูไอ้ป็อบกันดีกว่า ตั้งนานแล้วยังไม่เห็นมันขึ้นมาเลย"เตี้ยชวนมาฑให้ไปหาป็อบ ผู้ที่ลงไปดำน้ำยิงปลาที่อยู่อีกจุดนึง"อื่ม ดีเหมือนกัน ยายจุกร้านของชำ แกฝากข้ามาซื้อปลาจากมันพอดีเลย! ไหนดูสิว่ามันได้ปลาตามที่เขาสั่งไว้หรือเปล่า"มาฑพูดขึ้นพร้อมกับขยับรถมอเตอร์ไซค์ เตรียมที่จะมุ่งหน้าไปหาป็อบ ผู้เป็นเพื่อนอีกคน โดยมีเตี้ย เป็นคนนำทางให้
หลังจากที่ทั้งสองคนขับรถคู่ใจมาถึงจุดที่"ป็อบ"แยกตัวออกมาดำปลาแล้วนั้น ทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ของป็อบ แต่ไม่พบกับเจ้าตัวที่ลงไปดำปลาแล้วยังไม่ขึ้นมาบนฝั่ง มีเพียงแค่รถมอเตอร์ไซค์ และรองเท้าของป็อบเท่านั้น"มันหายไปไหนของมันนะ?"เตี้ยพูดขึ้น"มันคงยังไม่ขึ้นมาล่ะมั่ง?"มาฑออกความเห็น"คงงั้นมั้ง งั้นเราลองรอมันสักเดี๋ยวนึงก่อนหละกัน"เตี้ยพูดขึ้น
หลายนาทีผ่านไป ทั้งคู่ก็ยังไม่พบกับป็อบ ทั้งคู่ก็เริ่มที่จะมีอาการกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย โดดยเฉพาะ"เตี้ย" ที่ออกอาการมากกว่ามาฑ"....ข้าว่า มันนานกว่าปรกติและนะ!"มาฑพูดขึ้น"นั่นสิ! มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ?"เตี้ยพูด"งั้นเราลงไปดูที่ชายน้ำที่มันลงไปดูไหม?"มาฑออกความเห็น"ไป!"เตี้ยตอบในทันทีพร้อมกับลุกยืนขึ้น จากนั้นทั้งสองก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปยังชายตะลิ่ง ที่รองเท้าของป็อบที่ถูกถอดวางไว้อยู่นั้นเอง
"เฮ้ย! ไอ้เตี้ย เอ็งดูรอยนี่สิ!"มาฑร้องเรียกเตี้ย ให้ดูกับสิ่งที่เขาเห็น"....รอยเดิน? ยังใหม่อยู่เลย น่าจะเป็นของไอ้ป็อยนั่นแหละ ถ้ามันขึ้นมาแล้ว แล้วมันหายไปไหนวะ?!"เตี้ยพูดขึ้น หลังจากที่ดูรอยเท้าเสร็จ"งั้นเราลองตะโกนเรียกมันดู ดีกว่าไหม?  เผื่อบางทีมันเข้าป่าอยู่"มาฑออกความเห็น"นั่นสิ เราลองเรียกมันดูก็ได้ ขอให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆเถอะ...."เตี้ยพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด"ไอ้ป็อบบบบ!!! อยู่ไหนวะะะะะะ!! ถ้าได้ยินแล้วก็ส่งเสียงตอบด้วยยยยยย!!!..."
หลังจากที่ทั้งสองช่วยกันตะโกนเรียกชื่อป็อบ พร้อมกับออกเดินตามหาตามพุ่มไม้ต่างๆจนทั่วบริเวณ แต่ก็ไมาพบ ทั้งคู่จึงย้อนกลับมายังจุดเดิมอีกครั้ง"ชักจะไม่เข้าท่าซะแล้วว่ะ!!"เตี้ยพูดขึ้นอย่างวิตก"เอ่อใช่ ไม่เข้าท่าแล้ว!"มาฑพูดขึ้นขณะที่ดูกับรอยเท้า ที่เป็นรอยที่เดินขึ้นจากน้ำ"มีอะไรงั้นเหรอ??"เตี้ยถามมาฑอย่างสงสัย"เอ็งลองดูรอยตรงนี้ดีๆ รอยย่ำเดินขึ้นมันมาหยุดอยู่ตรงขอบนี้พอดี แต่เอ็งดูรอยข้าล่างนี่สิ มีบ้างอย่าง ขึ้นมา แล้วกลับลงไป!"มาฑพูดขึ้นแล้วลุกขึ้นยื่นมองลงไปยังสายน้ำอันสงบนิ่งเบื่องล่าง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า มีบาอย่างกำลังแอบจ้องมองพวกเขาทั้งสองคนอยู่อย่างเงียบๆ ฝายใต้ฝืนน้ำแห่งนั้น
.
.
๒.รอยฝังเขี้ยว
"ผู้ใหญ่ๆ เกิดเรื่องแล้ว!!"เสียงชายวัยกลางคนเรียกผู้ใหญ่บ้านอย่างตื่อนตระหนก ผู้ใหญ่เจริญ ผู้ใหญ่บ้านวัยสามสี่ปลายๆ แม้จะอายุยังน้อยเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่บ้านตำบลอื่นๆในละแวกนั้น แต่ผู้คนก็ต่างให้ความเคารพนับถือในตัวของผู้ใหญ่เจริญ เนื่องจากที่เขาชอบช่วยเหลือคน
"มีอะไรหรือตายืน วิ่งหน้าตื่นมาหาผมเนี้ย!?"ผู้ใหญ่เจริญถามตายืน ชายวัยกลางคนที่เรียกเขาด้วยท่าทางตกใจ
"....ช ช่วยมากับผมหน่อยผู้ใหญ่ เกิดเรื่องแล้ว!"ตายืนบอกกับผู้ใหญ่เจริญ
"เรื่องอะไรหรือ?"ผู้ใหญ่เจริญถามตายืนอย่างสงสัยปนอาการตื่นๆ
"จะให้ผมพูด ผมก็พูดไม่ถูกเหมือนกันนะผู้ใหญ่ ผมว่าผู้ใหญ่ต้องไปดูเอง!"ตายืนเซ้าซี้ผู้ใหญ่เจริญ จนผู้ใหญ่เจริญยอมขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆของตายืน แล้วตายืนก็ขับรถออกจากบ้านของผู้ใหญ่เจริญ
ตายืนขับรถมาจอดอย่าที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง แล้วแกก็ได้ลากเอาอวนตาข่ายดักปลาของแกลงมาจากเรือ
"มีอะไรหรือตายืน?"ผู้ใหญ่เจริญถามตายืน ทันทีที่ผู้ใหญ่เจริญถามจบ ตายืนแกก็นำเอาตาข่ายดักปลาของแก มาวางแผละอยู่ตรงหน้าของผู้ใหญ่เจริญ
"ผู้ใหญ่ดูนี่สิ!"ตายืนพูดขึ้น แล้วนำกิ่งไม้มาเขี่ยตาข่ายให้กางออก
"เชิดฝายแล้ว!!"ผู้ใหญ่เจริญร้องอุทานขึ้นพร้อกับกระโดดตัวลอย ถอยห่างออกไปทันทีดัวยความตกใจ เพราะสิ่งที่ทั้งคู่พบก็คือ เศษชิ้นส่วนของมนุษย์นั่นเอง
หลังจากที่ผู้ใหญ่เจริญใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อสงบสติอารมณ์ พอได้สติแล้ว ผู้ใหญ่เจริญได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรแจ้งตำรวจทันที
"นอนจากผมกับตายืนนี่ ยังมีใครรู้เรื่องนี้บ้างไหม?"ผู้ใหญ่เจริญถามตายืน
"โธ่ผู้ใหญ่.....ก็มีแต่ผมกับผู้ใหญ่สองคนนี่แหละ!"ตายืนตอบ
ครู่ใหญ่ๆต่อมา ตำหรวจจึงเดินทางมาถึง แล้วก็เริ่มลงมือตรวจหลักฐานและสอบปากคำตายืนกับผู้ใหญ่เจริญในทันที
".....ก็อย่างที่บอกแหละครับสารวัตร!"ตายืนพูดกับตำหรวจหนุ่ม
"....ครับ แล้วพ่อผู้ใหญ่ล่ะครับ?"สารวัตรหนุ่มหนันไปถามผู้ใหญ่เจริญ
"ครับ ก็อย่างที่สารวัตรเห็นนั่นหละครับ พอตายืนตามผมมาดู ผมก็โทรเเจ้งทางสารวัตรไป ตามที่ตายืนบอกนั่นแหละครับ"ผู้ใหญ่เจริญพูดกกับสารวัตรหนุ่ม
"ครับ ขอบคุณมากๆครับที่ให้ความร่วมมือ"สารวัตรหนุ่มกล่าวขอบคุณก่อนที่จะหันหลังเดินไปทางตำหรวจอีกคนนึง ที่กำลังตรวจสอบกับเศษชิ้นส่วนของมนุษย์อยู่ และใกล้ๆกันก็มีเหล่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยคอยให้ความให้ความช่วยเหลือ
"เป็นไงบ้างจ่าเหรอย?"สารวัตรหนุ่มถามตำหรวจอีกนายนึง
"....ไม่ไหวเลยครับสารวัตร มีแค่ส่วนขาแค่นั้นเอง!"จ่าเหรอยพูดพร้อมชี้มือไปยังเศษชิ้นส่วนที่ถูกพบ
"แล้วเป็นอย่างไงบ้าง?"สารวัหนุ่มถามกลับไปอีกครั้ง
"เท่าที่ผมดูแล้ว บาดแผลเป็นลักษณะเป็นรายฉีกขาด และมีร่องรอยของวัดถุรูปร่างแหลมๆแทงเข้าไปถึงกระดูกในบางช่วง รวมถึงตรงกระดูกบริเณหน้าแข้งหักด้วยครับสารวัตร"จ่าเหรอยอธิบายพร้อมกับชี้จุดแต่ละจุดให้กับสารวัตรหนุ่มดู
"ทำได้ดีมากจ่าเหรอย ที่เหลือแค่ถ่ายรูปหลักฐาน แล้วส่งหลักฐานไปที่แผนกนิติเวชตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่งนะนจ่า!"สารวัตรหนุ่มสั่งจ่าเหรอย
"รับทราบครับ สารวัตร!"จ่าเหรอยรับปาก แล้วรีบลงมือจัดการตาทที่สารวัตรหนุ่มสั่งในทันที
"....สารวัตรครับ ถ้าได้เรื่องอะไรแล้ว ช่วยบอกผมด้วยนะครับ...."ผู้ใหญ่เจริญเดินเข้ามาพูดกับสารวัตรหนุ่ม
"ได้สิครับพ่อผู้ใหญ่ ถ้าได้เรื่องอะไรคืบหน้าแล้ว ผมจะติดต่อกลับไปหาพ่อผู่ใหญ่เองครับ!"สารวัตรหนุ่มรับปากผู้ใหญ่เจริญ
"ขอบคุณสารวัตรมากๆครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมกับตายืน ขอตัวก่อนนะครับ"ผู้ใหญ่เจริญพูด
"ครับพ่อผู้ใหญ่ สวัสดีครับ"สารวัตรหนุ่มพูดพร้อมยกมือไหว้ ก่อนที่ผู้ใหญ่เจริญกับตายืนจะขับรถจากไป
"โฮ่ว์....มีการเรียก(พ่อ)นำหน้ากันด้วยวุ้ย!"จ่าเหรอยพูดขึ้นอยู่ข้างๆ
"บ๊ะไอ้นี่! ที่ให้ไปทำ ทำเสร็จแล้วหรือยัง!"สารวัตรหนุ่มพูดกับจ่าเหรอย
"เสร็จหมดแล้วครับพี่ โน้นพวกเขากลับกันหมดแล้ว เหลือแต่เราแล้ว!"จ่าเหรอยพูดพร้อมชี้มือไปที่รถกู้ภัยที่กำลังจะแล่นออกไปจากบริเวณนั้น แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับขึ้นไปบนรถประจำตำแหน่ง แล้วขับออกไปเป็นคันสุดท้าย
.
.
๓.การจู่โจมจากใต้น้ำ
หลายวันผ่านไป หลังจากที่ชาวบ้านรู้เรื่องข่าวที่ ตายืนพบเศษชิ้นส่วนของมนุษย์แล้วนั้น ต่างพากันวิภาควิจารณ์ไปกันต่างๆนาๆกันตามประสา แต่ท้ายที่สุด พอนานวัน เมื่อไม่มีอะไรคืบหน้า ชาวจึงพากันลืมเรื่องนี้ไปในที่สุด ยกเว้นผูใหญ่เจริญ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอฟังความคืบหน้าของเรื่องนี้จากสารวัตรหนุ่มอย่างใจจดใจจ่อ แต่กระนั้น เขาเองก็มีเรื่องอื่นให้จัดการเช่นเดียวกัน
"ผู้ใหญ่ครับ อยู่ไหมครับ?"เสียงๆหนึ่งดังขึ้น
"เอ่อ อยู่ๆ มีอะไรหรือ?"ผู้ใหญ่เจริญขานรับแล้วเดินออกไปที่ระเบียงหน้าต่างบ้าน"อ้าว พ่อมาฑนี่เอง มีธุระอะไรหรือ ถึงได้มาถึงนี่?"
"พ่อผมฝากห่อหมกมาให้ผู้ใหญ่ครับ"มาตอบพรางยกถุงพลาสติที่ใส่ห่อหมกขึ้นมาให้ผู้ใหญ่ดู
เอ่อๆขอบใจมาก.... อีหนูเอ่ย ออกไปรับของจากพี่เขาหน่อยสิลูก"เสียงผู้ใหญ่เจริญพูดกับอีกคนนึง ที่อยู่ในบ้าน
"จ่ะพ่อ"เสียงตอบรับหวานๆดังขึ้น ครู่ต่อมาหญิงสาวคนหนึ่งค่อยๆก้าวลงจากตัวบ้าน แล้วเดินมาหามาฑที่ยืนค่อมรถคู่ใจที่รออยู่ตรงประตูรั้วหน้าบ้าน
"ขอบใจพี่มาฑกับพ่อมากๆนะจ๊ะ ที่อุส่าเอามาให้"หญิงสาวพูดกับมาฑอย่างคุ้นเคย ก่อนที่จะใช้มือที่มีนิ้วงามๆรับเอาถุงที่ใส่ห่อหมกจากมาฑไป
"ไม่เป็นไร ว่าเเต่พี่เอ็งอยู่ไหมขวัญ?"มาฑเอ่ยถามหญิงสาว
"อยู่จ่ะ แต่ดูเหมือว่าพี่เตี้ยเขาไม่ค่อยสะบายแตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะจ่ะ พี่มาฑมีธุระอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?"ขวัญถาม
"ไม่มีหรอก แค่อยากจะหาเพื่อนคุยเฉยๆ"มาฑตอบพร้อมโบกมือหยอยๆ"....งั้นข้ากลับก่อนล่ะกัน บอกมันว่าหายไวๆนะ"มาฑพูดแล้วกลับรถมอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะกลับบ้าน แต่เป็นเวลาเดียวกันนั้น ได้มีรถคันนึงเข้ามาจอดขวางทางออกพอดี
"อ้าวเฮ้ยไอ้มาฑ!?"เสียงของสารวัตรหนุ่มผู้เป็นเจ้าของรถดังขึ้น
"ไอ้พล! ไปไงมาไงวะเนี้ย! อ้าวเฮ้ยไอ้เหรอย! เอ็งก็อยู่ด้วยเหรอวะ นึกว่ากลับใต้ไปแล้วซะอีก!!"เสียงมาฑกล่าวทักทายสารวัตรหนุ่ม หรือ สารวัตรพล กับจ่าเหรอยอย่างคุ้นเคย
"ผมกลับไปแล้วนะพี่มาฑ แต่ผมดันโดนย้ายมาที่นี่ แทนจ่าคนเก่าน่ะสิพี่"จ่าเหรอยตอบ
"....นี่พวกพี่ๆ รู้จักกันหรือจ๊ะ?"ขวัญถาม
"ก็ พอดีพวกเราเคยเรียนที่วิทยาลัยเดียวกันน่ะครับ"จ่าเหรอยตอบ
"คือ....ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าพ่อผู้ใหญ่อยู่ไหมครับ?"สารวัตรพลถามขวัญ
"ครับสารวัตร ผมกำลังรออยู่เลยครับ! ว่าแต่เชิญข้างในบ้านจะดีกว่านะครับสรวัตร"เสียงของผู้ใหญ่ดังขึ้นพร้อมกล่าวเชื่อเชิญ
หลังจากที่ทุกคนรวมถึงมาฑ ที่โดนจ่าเหรอยลากเข้ามาด้วย เข้ามานั่งอยู่ภายใต้ถุนบ้าน ของผู้ใหญ่เจริญแล้วนั้น สารวัตรพลก็ได้รายงานเรื่องผลชันสูตรให้กับผู้ใหญ่เจริญได้ฟัง
"....คือ เรื่องรายชื่อผู้เสียชีวิตที่เราระบุได้ ผมขออนุญาตไม่ขอกล่าวถึงนะครับพ่อผู้ใหญ่..."สารวัตรพลกล่าวขออนุญาตจากผู้ใหญ่เจริญ
"ได้สิ!"ผู้ใหญ่เจริญอนุญาต
"ขอบคุณครับพ่อผู้ใหญ่!"สารวัตรพลกล่าวขอบคุณผู้ใหญ่เจริญ ก่อนจะส่งหน้าที่ต่อให่กับจ่าเหรอย เป็นคนสรุปผลชันสูตรแบบโดยย่อให้กับทุกคนฟัง
".....ครับ จากลักษณะปากแผลส่วนใหญ่เป็นแผลที่เก็ดจากรอยเขี้ยวของสัตว์ขนาดใหญ่ ส่วนแผลบริเวณต้นขานั้น เกิดจากการที่ถูกฉีกหรือดึงออกมาด้วยแรงมหาศาล และบริเวณหน้าแข้งที่หักนั้น เกิดจากการที่ผู้ตายถุกกระแทกอย่างรุนแรงด้วยวัถุไม่ทราบชนิด และภายในกระดูดต้นขานั้น เราพบกับเศษเขี้ยวของสัตว์ชนิดหนึ่งที่เราไม่สามารถระบุตัวตนได้ ว่าเป็นสัตชนิตไหน...."จ่าเหรอยอธิบาย
"....เดี๋ยวนะ! ถ้าเป็นจระเข้หลุดมา ผมยังพอเข้าใจ ว่านั่นคือฝีมือของจระเข้! แต่นี่คุณกำลังจะบอบผมว่า มีตัวอะไรสักอย่าง กำลังป้วนเปี้ยนอยู่ในแม่น้ำนี้หรือครับ??"ผู้ใหญ่เจริญพูดขึ้น
"ครับพ่อผู้ใหญ่....แต่ตอนนี้เรากำลังตรวจสอบกันอย่างละเอียดอยู่ครับ!"สารวัตรพลพูด
"....เขี้ยว? มีรูปมาไหม?"มาฑเอ่ยถามขึ้น
"มีพี่ ทำไมหรือ?"จ่าเหรอยตอบ
"ขอข้าดูหน่อย"มาฑพูด
"แต่มันเป็นความลับของราชการนะพี่มาฑ!"จ่าเหรอยค้าน
"เถอะน่า มีแค่พวกเรา!"มาฑเซ้าซี้ จนในที่สุดจ่าเหรอยจึงตัดความรำคาญ ส่งรูปภาพให้มาฑดู".....เขี้ยวมันไม่ใช่เขี้ยวของจระเข้แน่นอน เขี้ยวมันไม่โค้ง มันเป็นทรงสามเหลี่ยมฟันปลา แถมยังเป็นเขี้ยวเหมือนกับฟันของฉลามเลย! แต่เล็กและเรียวยาวกว่า!!"มาฑพูดขึ้นในขณะที่ดูรูปไปเรื่อยๆ
"ฉลาม? ตอนแรกพวกนิติเวชก็พูดแบบนั้นเหมือนกันแหละพี่มาฑ แต่พอตรวจสอบใหม่ดีๆแล้ว ผลมันออกมาว่าไม่ใช่! และอีกอย่างนะพี่มาฑ บ้านเราไม่มีฉลามน้ำจืดที่กัดคนตายได้นะพี่!"จ่าเหรอยพูด
"นั่นสิ แล้วมันตัวอะไรกันนะ?"มาฑพูดขึ้นอย่างสงสัย
หลายวันผ่านไป ชาวบ้านทุกคนใช้ชิวิตประจำวันกันอย่างปกติ จนกระทั่งคืนหนึ่ง มีชายสองคนออกมาตรวจตาข่ายดักปลาตามปกติ คืนนั้นเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์สาดส่องลงมายังพื้นน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ชายทั้งสองคนยังคงพายเรือตรวจดูตาข่ายดักปลากกันของตนไปเรื่อยๆจนกระทั่งสุดตาข่าย
"ไม่ได้สักตัว ปลามันหายไปไหนหมดวะ!?"ชายคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"นั่นสิ หรือว่ามันจะหนีไปอยู่กันที่คุ้มน้ำอื่นแล้วมั้ง!"ชายที่นั่งอยู่ท้ายเรื่อพูดเสริม
"อย่างน้อย ได้นางเงือกสักตัวก็ดีสิ พ่อจะจับออกงานวัดเลย!"ชายที่นั่งตรงหัวเรื่อพูดอีกครั้ง
"ถ้าเป็นข้าหละก็ ข้าจะจับทำเมียซะเลย อดอยากมานานแล้ว!"ชายที่นั่งอยู่ตรงท้ายเรือพูด ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันหัวเราะร่ากันจนสนั่นไปทั้งคุ้มน้ำ
"เฮ้ยดูอะไรนี่สิ มีแสงสีฟ้าส่องออกมาจากใต้น้าด้วยว่ะ!"ชายที่นั่งอยู่ที่หัวเรือพูดขึ้น เมื่อเขาเห็นแสงบางอย่างปรากฎขึ้นอยู่ข้างๆกาบเรือ
"นั่นแสงอะไรวะน่ะ?"ชายที่นั่งอยู่ท้ายเรือพูด หลังจากที่ตนได้เห็นกับแสงที่อยู่ภายใต้ท้องน้ำอันมืดมิด
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะพูดหรือทำอะไรต่อ พลันได้มีวัถุบางอย่างพุ่งขึ้จากน้ำด้วยความเร็ว เร็วจนทั้งสองไม่ทันตั้งตัว ก่อนที่มันจะลอยข้ามเรือไปแล้วลงสู่ท้องน้ำอีกครั้ง
"น....น....นั่นมันอะไรน่ะ!!?"ชายที่นั่งอยู่ท้ายเรือพูดออกมาด้วยความตกใจ แต่เมื่อเขาหันกลับไปหาเพื่อนที่อยู่ตรงหัวเรือก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่า ร่างของผู้เป็นเพื่อนปราศจากศิรษะ เลือดพุ่งทะลักออกมาเต็มเรือและท้องน้ำ และทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความเงียบ
เขาพยายามรวบรวมสติให้ได้เร็วที่สุด หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว เขาก็กลับลำเรือแล้วรีบพายเรือออกมาให้ถึงฝั่งโดยเร็วที่สุด แต่ในขณะที่เขากำลังรีบพายเรื่อเพื่อเข้าฝั่งอยู่นั้น เขารู้สึกได้เลยว่า มีอะไรบ้างอย่างกำลังเคลื่อนตัวไล่ตามเขาเข้ามาทุกขณะ และอีกไม่กี่เมตรก็จะถึงฝั่งแล้ว ฉับพลันนั้นก็ได้มีอะไรบางอย่างพุ่งขึ้นมาจากด้านใต้ท้องเรือ จนทำให้เรือลำนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
"แม่จ๋า! กลัวแล้วจ้าาาาาา!!!"เขาร้องลั่น เมื่อเห็นปากที่กำลังอ่ากว้างและเต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมเต็มปาก ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง และกลับสู่ความเงียบอีกครั้งหนึ่ง
หลายวันต่อมา ทางกรมตำรวจได้รับแจ้งเหตุจากชาวบ้านว่า พบชิ้นส่วนของมุษย์ อยู่แถวบริเวณปากแม่น้ำแห่งหนึ่ง สารวัตรพล และจ่าเหรอย สองคู่หูได้ออกเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุหลังจากรับเรื่องไว้ในทันที 
หลังจากที่ทั้งสองใด้ทำการตรวจสอบในเบื่องต้นแล้ว สภาพของเศษชิ้นส่วนนั้นแทบไม่ต่างจากของศพรายแรกมากเท่าใดนัก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ส่งต่อให้กับนิติเวชเพื่อตรวจสอบดี.เอ็น.เอ ของเจ้าของเศษชิ้นส่วนนั้นต่อไป
"....พี่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันเป็นการฆาตกรรมอำพรางหรือเปล่าครับ?"จู่ๆ จ่าเหรอยก็เอ่ยถามสารวัตรพลขึ้นในขณะที่ขับรถกลับ หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากที่เกิดเหตุแล้ว
"ชั้นเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไรนะ ว่าคนพวกนั้นจะถูกฆาตกรรมมาจากที่อื่นแล้วถูกนำศพมาทิ้งที่นี่หรือเปล่านี่สิ แล้วถ้าเป็นแบบนั้น พวกสัตว์กินซากแบบไหนกันหล่ะ ที่ทำกับศพได้ขนาดนั้น?"สารวัตรพลพูด
"ตะกวดมั้งพี่ ไม่ก็พวกจระเข้!"จ่าเหรอยเอ่ยขึ้น ในขณะรถติดไฟแดง
"นี่เอ็งดูหนังมากเกินไปหรือเปล่าวะ?! ตะกวดที่ไหนวะ จะงับคนได้ขาดครึ่งตัวในครั้งเดียวน่ะ! อีกอย่างนะ แม่น้ำสายนี้อยู่ติดกับทะเลมากเกินไป แล้วยิ่งเวลาน้ำทะเลหนุนแล้ว สัตว์น้ำจืดมันก็ไม่อยู่กันแล้ว! มีแต่พวกที่อยู่ในน้ำกร่อยได้เท่านั้น....!"สารวัตรพลหยุดพูดอย่างกระทันหัน เหมือนกับว่าเขานึกอะไรได้
"ก็นั่นแหละพี่ ผมกำลังหมายถึง ตัวอะไรก็ได้ที่มันกินซากที่อยู่ในน้ำกร่อยได้ไง?"จ่าเหรอยพูด
"แต่ถ้าเป็นจระเข้น้ำเค็มหละก็ คงตัวไม่ใช่เล็กๆเลยนะเนี่ย ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นฝีมือของเจ้าพวกนั้น ที่ไปกัดกินศพที่ถูกนำมาทิ้งแถวนี้ก็ได้!"สารวัตรพลพูดขึ้นด้วยแววตาที่เปล่งประกายแวววับ
"งั้นก็แปลว่า เราสามารถที่จะปิดคดีนี้ได้เร็วๆนี้สินะครับ!"จ่าเหรอยเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันนะ..... "สารวัตรพลพูด ในขณะที่จ่าเหรอยค่อยๆคับรถออกจากบริเวณสี่แยกไฟแดง 
.
.
๔.การสืบสวน
หลังจากที่สารวัตรพลกลับมาถึงยังสถานีตำหรวจแล้ว เขาได้ส่งบรรณดาสายสืบลงพื้นที่ เพื่อจับตาดูเหล่ากลุ่มของผู้มีอิธิพล และพวกแก๊งอาชญากรต่างๆ และยังจัดหน่วยล่าตะเวณกลุ่มเล็กๆ คอยตรวจตราตามบริเวณของแม่น้ำ เพราะเขาคิดว่า บางที่เขาอาจจะพบจระเข้น้ำเค็มที่หลุดเข้ามาภายในแม่น้ำแห่งนี้ แต่เมื่อผ่านไปหลายอาทิตย์ก็ไร้ซึ่งวีแววใดๆ 
"ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยหรือนี่ หรือว่าพวกนั้นไหวตัวทันกันนะ?!"สารวัตรพลพูดขึ้นในขณะที่เขาอยู่ภายในห้องทำงาน 
"ใจเย็นๆน่าพี่ ผ่านมาแค่อาทิตย์เดียวเอง ถ้ามีคนทำผิดจริง คนพวกนั้นก็คงยังไม่ลงมือทำอะไรแบบนั้นในตอนนี้หอรกครับ!"จ่าเหรอยพูดเตือนสติสารวัตรพล
"....มันก็จริงนะ แล้วเราจะทำอะไรกันต่อไปดี?"สารวตรพลถามจ่าเหรอยผู้รู้ใจ
"ก็ไปหาผู้ใหญ่เจริญสิพี่ เห็นว่าพี่เองก็ชอบน้องขวัญ ลูกสาวผู้ใหญ่ด้วยไม่ใช่เหรอ??"จ่าเหรอยพูด
"เออๆ รู้ดีจังนะเอ็ง เดี๋ยวซักวันชั้นจะเอาเทปกาวปิดปากแก! เอาเรื่องงานสิวะ!"สารวัตรพลเอ็ดจ่าเหรอยไปชุดใหญ่ แต่ในใจของเขาเองก็ต้องการที่จะไปพบหน้าขวัญ ลูกสาวของผู้ใหญ่เจริญเป็นทุนเดมอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเพื่อนรุ่นน้องพูดแบบนั้น จึงแกล้งตวาดใส่เพื่อแก้อาการเขิลอากเพียงเท่านั้น
เย็นวันต่อมา สารวัตรพลได้ขับรถเก๋งประจำตัวมาที่บ้านของผู้ใหญ่เจริญ โดยที่วันนี้ จ่าเหรอยไม่ได้มาด้วย เพราะต้องเข้าเวร
"สวัสดีครับ พ่อผู้ใหญ่"สารวัตรพลกล่าวทักทายผู้ใหญ่เจริญ
"สัวสดีครับสารวัตร มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?"ผู้ใหญ่เจริญกล่าวทักทายกลับ"อีหนูเอ่ย เตรียมน้ำให้แขกหน่อยเร็ว!"เสียงผู้ใหญ่เจริญตะโกนบอกกับลูกสาว
"จ่ะพ่อ!"เสียงของขวัญขานรับ 
หลังจากนั้นผู้ใหญ่เจริญก็พาสารวัตรพล เข้าไปนั่งที่โต๊ะรับแขกที่อยู่ตรงกลางของใต้ถุนบ้าน 
"น้ำได้แล้วจ่ะ"เสียงของขวัญดังอยู่ข้างๆของสารวัตรพล พร้อมจับยื่นขันน้ำและรอยยิ้มอันอ่อนหวานให้กับสารวัตรพล
"ขอบคุณครับ"เขากล่าวขอบคุณและรับเอาขันน้ำจากขวัญ โดยที่เขาเองก็เก็บอาการเขิลอาย กับความดีใจที่ได้พบกับขวัญเอาไว้ได้
"สารวัตรมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถึงได้มาหาผม?"ผู้ใหญ่เจริญกล่าวถามสารวัตรพล หลังจากที่เขาดืมน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
"....อ๋อครับ พอดีผมมีเรื่องอยากจะถามนิดหน่อยน่ะครับ"สารวัตรตอบ
"เรื่องอะไรหรือครับ?"ผู้ใหญ่เจริญถามกลับ
"....คือว่า แถวนี้เคยมีจระเข้ หลุดออกมาอาละวาดบ้างไหมครับ?"สารวัตรยิงคำถาม
"....ก็เคยมีนะครับ แต่ก็สัก 30-40 ปี โน้นแนะครับ...แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วหละครับ มันไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้วล่ะครับ"ผู้ใหญ่เจริญตอบ
"....แล้วมีใครเห็นอะไรแปลกๆในน้ำบ้างไหมครับ?"สารวัตรพลถามต่อ
"....จะว่าไป....มันก็มีเจ้าเตี้ยลูกชายคนโตของผมน่ะครับ!"ผู้ใหญ่เจริญตอบ
"เขาเห็นอะไรงั้นหรือครับ?"สารวัตรพลถามกลับอย่างตื่นเต้น
"เห็นบอกว่าเป็นเงาของปลา ที่อยู่ในใต้น้ำน่ะครับ"ผูใหญ่เจริญตอบ
"ปลา....งั้นหรือครับ??"สารวัตรพูดขึ้นอย่างสงสัย
"ครับ เขาบอกว่าเป็นเงาของปลาที่ใหญ่มากๆเลยน่ะครับ"ผู้ใญ่เจริญพูดขึ้น
"....แล้วที่ว่าใหญ่มากๆนี่ มันกะได้ประมาณขนาดไหนครับ??"สารวัตรพลถามผู้ใหญ่เจริญอีกครั้ง 
"เห็นว่า ประมาณเรือกำปั้นเล็กน่ะครับ!"
"....แล้วตอนนี้ ลูกชายพ่อผู้ใหญ่อยู่ที่ไหนครับ พอดีผมอยากจะฟังทุกอย่าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ จากปากของเขาเองน่ะครับ?"สารวัตรถามผู้ใหญ่เจริญ
"เห็นบอกว่าจะไปเยี่ยมอาของมาฑน่ะครับ"ผู้ใหญ่เจริญตอบ
"บ้านของมาฑหรือครับ?"สารวัตรพลถามย้ำ
"ครับ บ้านของมาฑ"ผู้ใหญ่เจริญยืนยัน
"ครับ ขอบคุณพ่อผู้ใหญ่มากครับ ผมขอตัวไปหาข้อมูลต่อนะครับ!"สารวัตรพลกล่าวขอบคุณผู้ใหญ่เจริญพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
"อ้าว จะไปแล้วหรือครับ ไม่อยู่ทารข้าวด้วยกันหน่อยหรือครับ?"ผู้ใหญ่เจริญพูดขึ้น
"ไม่เป็นไรครับ ผมทานข้าวเย็นมาแล้วครับ ยังไงก็ขอบคุณพ่อผู้ใหญ่มากๆนะครับ"สารวัตรพลพูดขึ้นก่อนจะเดินออกไปจากบ้านของผู้ใหญ่เจริญ"ปลาตัวใหญ่งั้นหรือ?! มันปลาพันธุ์อะไรกันนะ?"เขาพูดขึ้นในขณะที่กำลังสตาร์ทรถเก๋งของเขาแล้วขับออกไป มุ่งสู่บ้านของมาฆ ผู้เป็นเพื่อนเก่า เป็นเป้าหมายต่อไปในค่ำคืนนี้



วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2561

P.I.X.I.V fantasy:ไก่ฟ้าสุริยัน

ไก่ฟ้าสุริยัน
.
.
"แย่แล้ว!! ใครก็ได้ ได้ยินแล้วตอบด้วย!? นี่ กรีฟฟิน ไซย์=สกายร่า ขณะนี้ เรืออาร์ 002 กำลังประสบกับปัญหาฉุบเฉิน!! ขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน!! หากใครได้รับสัณญาณนี้แล้วตอบด้วย!!....."
.
.
.
.
ณ.เมือง"สุวรรณโคม"ดินแดนอันห่างไกลแห่งตะวันออก ดินแดนที่มีแต่ความสงบ ชาว"มัตตัย"อาศัยอยู่กันอย่างสงบสุข เด็กหนุ่มคนหึ่งกำลังยืนเข้าแถว"ใครที่ถูกเรียกรายชื่อต่อไปนี้ให้ก้าวออกมาข้างหน้า...!" "...........เอาหละ ครบกนทุกคนแล้วสินะ ยินดีด้วย พวกเอ็งทุกคนผ่านการทดสอบ นับแต่นี้ต่อไปพวกเอ็งทุกคนคือผู้กล้า ยอดนักรบแห่งมัตตัย จงสู้เพื่อความฝันอันเชิดฉายของพวกเอ็งเถิด..."
.
.
"....อีกแล้วสิ....ไม่ผ่านอีกแล้ว...."เด็กหนุ่มกำลังบ่นอย่างผิดหวัง"....เป็นไงบ้างพยัคฆ?"ชายวัยกลางคนพูดกับเด็กหนุ่ม"....ไม่ผ่านอีกแล้วพ่อครู..."เด็กหนุ่มตอบ.."....งั้นหรือ...เอ็งไปพักพ่อนก่อนไป เย็นค่อยไปฝึก..."ชายวัยกลางคนพูด"....ขอรับ พ่อครู..."เด็กหนุ่มตอบแล้วเดินจากไป ในค่ำคืนนั้นเด็กหนุ่มได้ออกมานั่งอยู่ภายนอกที่พัก"ยังไม่หลับอีกเหรอลูก..."ชายวัยกลางคนพูดกับเด็กหนุ่ม".....พ่อครู" "....ยังติดใจเรื่องนั้นอยู่อีกหรือ?"ชายวัยกลางคนถามเด็กหนุ่ม"....หกรอบแล้วนะขอรับ ที่ข้าไม่ผ่านการทดสอบ....ข้ามันไร้ความสามารถ...."เด็กหนุ่มพูด"อย่าคิดมากน่า พ่อเองกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายซะเมื่อไร...แต่ว่าคนทุกๆคนมักมีสิ่งที่คู่ควรของแต่ละคนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะหามันเจอเมื่อไรเท่านั้นเอง"ชายวัยกลางคนปลอบใจพร้อมกับให้แนวทาง"....ถ้างั้นข้าจะหยุดความคิดที่จะเป็นผู้กล้า แต่ข้าจะฝึกวิชาเพื่อรอคอยเวลา เวลาที่ข้าจะพบกับสิ่งที่ข้าคู่ควร..!"เด็กหนุ่มตัดสินใจ"หึๆ พ่อรู้ว่าเอ็งต้องทำได้ และวันนั้นจะต้องมาถึงแน่ๆ"
.
.
รุ่งเช้า"พยัคฆ"ตื่นแต่เช้าและเข้าฝึกซ้อมอย่างอารมณ์ดี"....อะไรกัน? นี่คือสีหน้าของคนไม่ผ่านการทดสอบหรือนี่...."เด็กหนุ่มอีกคนเดินออกมาพูดกับพยัคฆ"......อืม....นั่นสินะ.....คงจะปลงได้แล้วหละมั่ง......"เด็กสาวที่ท่าทางเหมือนเพิ่งตื่นนอนพูดขึ้น"เออ...คือ...มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือคะ...?"เด็กสาวอีกคนพูดขึ้น"พอเลยทั้งสามคน! ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ข้าแค่อารมณ์ดีก็เท่านั้นแหละ"พัยัคฆพูด"อารมฌ์ดีเรื่องอะไรของเจ้า"เด็กหนุ่มถามพยัคฆต่อ"....เอ็งอย่าเพิ่งมากวนอารมณ์ข้าได้ไหม ซามูเอล"พยัคฆพูดใส่เด็กหนุ่ม"....น่าๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ทั้งสองคนอย่าเพิ่งอารมณ์เสียกันแต่เช้าเลยนะคะ....เดี๋ยวจะถูกครูทำโทษอีกนะคะ...."เด็กสาวพูดห้ามพยัคฆกับซามูเอล".....ชิ ก็ได้!!"พยัคฆกับซามูเอลตอบพร้อมกัน
.
.
เที่ยงวันนั้นมีชายแปลกหน้าวัยกลางคนมาหา"เดชา" หลังจากนั้นเดชาได้ออกมามาหาพยัคฆและเพื่อนๆแล้วบอกกับทุกๆคนว่า"ข้ามีภาระกิจให้พวกเอ็งทำ พวกเอ็งจะทำหรือไม่?""มีเรื่องอะไรเหรอขอรับพ่อครู....?"พยัคฆถาม"ลูกสาวของเพื่อนสนิดของข้า หายตัวไปแถวๆเขตุพรมแดนของที่ราบสูงทานตะวันกับที่ราบสูงมันเดย์ลีของเมืองเทมส์....หน้าที่นี้หนักหนานักและอันตราย พวกเอ็งจะยอมทำไหม....?"".....แค่หาตัวลูกสาวของเพื่อนพ่อครูให้เจอแล้วพากลับมาให้ได้ก็พอใช่ไหมขรับ....?"พยัคฆถามเดชา"....ใช่...."เดชาตอบ"....ข้ารับอาสาเอง"ซามูเอลพูด"ข้าไปด้วย!"พยัคฆพูด"ฉ...ฉันขอไปด้วยค่ะ!!"สกาเล็ตตอบ".....ไปด้วย...."เซ็นนะพูด"....ดีมากทุกคน จงจดจำทุกอย่างที่เคยฝึกฝนให้ดีๆ และจงใช้งานสิ่งเหล่านั้นให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้ได้อย่างเต็มที่เพราะจากนี้ต่อไปมีแต่พวกเอ็งสี่คนเท่านั้น ขอให้พวกเอ็งทุกคนจงโชคดี..."เดชาบอกกับทุกคนก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเตรียมตัวออกเดินทาง
.
.
หลังจากที่ทั้งสี่คนออกมานอกเมืองเพื่อที่จะเดินทางไปที่เขตุชายแดนบริเวณที่เป็นจุดหมาย เมื่อมาถึงซามูเอลจึงบอกกับทุกคนว่า"....จากนี้ไป เราจะแยกย้ายออกกันตามหา หากใครพบเจอเบาะแสอะไรก็จุดพลุส่งสัญญาณบอกตำแหน่งทันที มีใครสงสัยอะไรไหม?"ซามูเอลถาม"ไม่ คราวนี้เอ็งเป็นคนนำ แล้วพวกข้าต้องไปทางไหน?"พยัคฆถามซามูเอลกลับ"....ของเจ้าคือทางนั้น ผื้นป่ารกร้าง ทำได้หรือเปล่า...?"ซามูเอลพูดกับพยัคฆ"เออ ทำไมจะไม่ได้...."พยัคฆตอบ"เซ็นนะ เจ้าไปทางนั้น ทุ่งหญ้าเลี้ยงโค...."ซามูเอลบอกกับเซ็นนะ".................อื่ม............"เซ็นนะตอบ"สกาเล็ต เจ้าไปทางนั้น ตีนผาวิหก"ซามูเอลบอกกับสกาเล็ต"ค..ค่ะ!!"สกาเล็ตตอบ"ส่วนข้า จะดูที่วิหารนาคาเอง เอาหละ แยกย้ายได้!!"
.
.
หลังจากที่พยัคฆและคนอื่นๆในกลุ่มแยกย้ายกันไปคลละทางของแต่ละคนแล้ว พยัคฆได้เดินทางมาที่ผื้นป่าที่รกร้าง เมื่อพยัคฆเดินเข้ามาในป่าเรื้อยๆเขาได้พบกับร่องรอยของต้นไม้ที่หักเป็นทางแนวยาว"....นี่มันเกินอะไรขึ้นกันวะเนี้ย?!"เขาอุทานขึ้น และเมื่อเขาเดินต่อมาเรี่อยๆ เขาก็ได้พบกับ"เรือบิน"ลำนึงที่ในสภาพที่เสียหายทั้งลำ และเมื่อเขาเดินเข้าไปดูใกล้เขาได้เห็รอยเท้าหนึ่งรอยที่ตรงไปยังป่าลึก เขาจึงตัดสินใจจุดพลุขึ้นฟ้าเพื่อส่งสัญญาณให้คนอื่นรู้แล้วจึงเดินตามรอยเท้าเข้าไปในป่าอีกครั้ง ในระหว่างทางเขาได้ทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่อที่จะได้ไม่หลงทางและเพื่อบอกกับคนอื่นๆว่าเข้ากำลังจะไปตรงไหนจะได้ตามหาเขาถูก หลังจากเดินตามรอนเท้ามาหลายชั่วโมงแล้ว เขาได้พบกับวิหารร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า"....นี่มัน....วิหารงั้นรึ?! รอยเท้านั่นตรงเข้าไปข้างในนั้น คงจะอยู่ตรงไหนสักที่ในวิหารนั้นแน่...."เขาพูดขึ้นก่อนที่จะเดินตามรอยเท้าเข้าด้านในวิหาร
.
.
ภายในวิหารร้านนั้นพยัคฆได้พบกับภาพวาดฝาผนังจำนวนมากเรียกรายไปตลอดทางเดิน"อะไรกันเนี้ยภาพพวกนี้....?"พยัคฆพูดขึ้นเมื่อดูภาพฝาผนังเหล่านั้น ทางด้านซามูเอลเอง เมื่อได้เห็นพลุสัญญาณที่พยัคฆจุดขึ้นมาแล้วนั้นก็รีบเดินทางไปยังจุดๆนั้นทันที และเมื่อเขามาถึงก็พบกับเซ็นนะและสกาเล็ตที่ตามมาสมทบที่หลัง"...นี่ใช่เรือบินที่พวกเขาบอกหรือเปล่าคะ?"สกาเล็ตถาม"ข้าไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูรอยเท้าสองรอยนี่สิ มีรอยนึงที่ยังดูใหม่กว่า..."ซามูเอลตอบ"....คิดว่าเป็นของเสือตัวนั้นแน่...."เซ็นนะพูด"...พวกเราตามรอยนี้ไปกันเถอะ บางทีอาจจะพบเจ้านั่นกับคนที่เรากำลังตามหาอยู่ก็ได้!"ซามูเอลพูด"ก็ดีเหมือนกันค่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้น หวังว่าสองคนนั้นจะปลอดภัยนะคะ!"สกาเล็ตพูดเสริม"ถ้าเช่นนั้น ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม เพราะบางทีระหว่างทางเราอาจจะเจอแขกไม่ได้รับเชิญก็ได้..."ซามูเอลพูด"....พูดช้าไปหน่อยนะ....คุณชาย..."เซ็นนะพูด และเมื่อทุกคนหันไปดูตามสายตาของเซ็นนะแล้ว ทุกคนพบกับสัตว์จักรกลตัวหนึ่งที่กำลังตรงมาหาพวกเขา"....เอ่อ....สมพรปากจริงแท้ๆ..."ซามูเอลพูด
.
.
ทางด้าพยัคฆเองก็กำลังเดินตามหาเจ้าของรอยเท้าที่นำเขามาที่นี่แต่ทว่า รอยเท้าทั้งหมดได้หายไปจนทำให้เขาเดินตามหาทุกห้องที่เขาพบ"...หายไปไหนนะ รอยเท้าก็ไม่มีแล้วเอาไงดี....?"เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะนั่งคิดอะไรอยู่พักหนึ่งและลุกขึ้นแล้วทำการปั่นจิ้งหลีดห้ารอบและหยุดลงและเดินไปตามทางที่เขาหันหน้าไปเรื่อยๆ"....มีแต่ต้องเดาเท่านั้นนี่หว่า..."เขาพูดกับตัวเอง หลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่งเขาก็ได้พบกับห้องโถวที่มีขนาดกว้างมากพอสมควร และที่นั่นเขาได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้อยู่กับอะไรบางอย่างที่เหมือนกับรูปปันสัตว์ในตำนาน การโจมตีของรูปปันสัตว์ในตำนานพวกนั้นทำให้ดาบที่หญิงสาวคนนั้นใช้หักไปเล่มนึง เธอจึงเหลือดาบเพียงเล่มเดียว เมื่อพยัคฆเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยหญิงสาวคนนั้นต่อสู่ด้วยอีกแรงจนสามารถทำลายรูปปันเหล่านั้นลงได้หมดอย่างทุลักทุเล"แฮ่ก....แฮ่ก...ขอบคุณมากนะคะ ที่เข้ามาช่วย..."หญิงสาวกล่าวขอบคุณ"....ไม่เป็นไร เอ็งเป็นใคร ข้าไม่เคยเห็นหน้า...?"พยัคฆถามหญิงสาว"ฉันเป็นชาวสวรรค์ ชื่อ กรีฟฟิน ไซย์ หรือจะเรียกฉันว่า สกายร่า ก็ได้ค่ะ..."หญิงสาวตอบ".....เฮ้อ....หาเจอสักที..."พยัคฆพูดพรางถอนหายใจอย่างโล้งอก"...เอ๋? ตามหาฉันหรือคะ?"สกายร่าถามพยัค์"...ใช่ ข้า พยัคฆ คนของพรรค์กระเบน มีคำสั่งจากขุนเดชาให้ออกตามหาบุตรสาวของ กรีฟฟิน ไซย์ ผู้เป็นสะหาย..."
.
.
หลังจากที่ทั้งสองคนพักเหนื่อยกันเสร็จแล้วก็ได้พากันมายังทางออกแต่ปรากฎว่าทางเดินทุกอย่างแปลกไปจากเดิม"น...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี้ย ทำไม....ตอนที่ฉันเข้ามาฉันจำได้ว่าทางเดินมันไม่ได้เป็นอย่างนี้นี่คะ!?"สกายร่าพูดด้วยความประหลาดใจ"...ดูเหมือนว่าจะเป็นกลไกอะไรสักอย่างของวิหารนี้ แปลกมาก....ทั้งๆที่ที่นี่ร้างมาหลายร้อยปีแล้วนี่นา เหตุใดกลไกพวกนี้ถึงยังใช้งานได้อยู่กันนะ...?พยัคฆพูด หลังจากนั้นทั้งคู่จึงตัดินใจเสียงดวงเดินไปอีกเส้นทางนึ่ง"...จะว่าไป คุณพยัคฆคะ คุณเป็นผู้กล้าแบบเดียวกับคุณเดชาหรือเปล่าคะ?"สกายร่าถามพยัคฆขณะกำลังเดินไปตามทาง"....เปล่า ตอนนี้ข้าเป็นเพียงแค่นักสู้ฝึกหัดเท่านั้น ไม่ได้เป็นผู้กล้าอะไรแบบนั้นหรอก..."พยัคฆตอบกลับและหยุดเดินเมื่อถึงห้องห้องหนึ่งและนั่งลงเพื่อที่จะพักเพราะเดินกันมาได้สักพักแล้ว"งั้นหรือคะ ฉันคิดว่าคุณน่ะ มีฝีมือนะคะ การเป็นผู้กล้า ฉันว่าสำหรับคุณไม่ใช่เรื่องยากนะคะ.."สกายร่าพูดต่อ"เอ็งคิดเช่นนั้นหรือ?"พัยคฆถามสกายร่า"ค่ะ ฉันคิดแบบนี้นจริงๆ"สกายร่าตอบ"...แล้วเอ็งหละ เป็นนักนักสู้ระดับใด?"พยัคฆถามสกายร่า"ฉันเป็นจอมดาบแล้วค่ะ เพียงแต่ยังไม่เป็นทางการเพราะฉันต้องไปรับตำแหน่งที่เมืองเทมส์น่ะค่ะ แต่มาเกิดเรื่องนี้เอาซะก่อน..."สกายร่าพูดด้วยสีหน้าหดหู่"....ข้าเล่าอะไรให้ฟัง นักรบ หรือ นักสู่บนโลกนั้นมีเกีรยติยศมากที่สุดคือ พวกทั่วไป และพวกที่มีเกีรยติยศและสิธิพิเศษมากที่สุดก็คือ ผู้กล้า และ พวกที่ไม่ต่างกับสามัญชล มีสิธิเทียบเท่าบุคคลทั่วไป แต่กลับไร้ซึ่งเกรียติยศ คือ นักล่าสัตว์ร้าย หากเป็นเอ็ง เอ็งจะเลือกอะไร...?"พยัคฆถามสกายร่า"....เลือกเป็นอะไรก็ได้ค่ะ!"สกายร่าตอบ"....อะไรนะ?"พยัคฆทะลักออกมา"...ก็ จะผู้กล้าก็ดี นักรบทั่วไปก็ดี หรือนักล่าสัตว์ร้ายก็ดี สุดท้ายทุกอย่างมันก็ช่วยเหลือผู้อื่นได้เหมือนกันนี่คะ ถึงวิธีการช่วยเหลือผู้อื่นจะไม่เหมือนกันก็เถอะค่ะ....."สกายร่าตอบทำให้พยัคฆนิ่งอึ้งไปครู่นึงเลยทีเดียว"...เอ็งนี่มัน...แปลกคนดีแท้..."พยัคฆพูดก่อนที่จะลุกขึ้นและพาสกายร่าออกเดินกันต่อไป
.
.
หลายชั่วโมงต่อมาขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปตามทางเดินอยู่นั้นเอง พยัคฆเกิดสะดุตากับภาพวาดภาพหนึ่งที่เป็นภาพของเมืองที่กำลังจมลงสู่ท้องทะเล"....อะไรกันนะภาพพวกนี้ ชักเริ่มสงสัยซะแล้วสิ ว่ามันเป็นภาพเรื่องราวในอดีตหรือคำทำนายในอนาคตกันนะ...?"พยัคฆพูดขณะที่กำลังดูภาพเหล่านั้น"...เออ...คุณพยัคฆคะ ฉันว่าคุณลองมาดูตรงนี้ดีกว่าค่ะ..."สกายร่าพูดกับพยัคฆด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและเมื่อพยัคฆหันไปดูก็เห็นรูปปันขนาดใหญ่ตั้งอยู่ภายในห้องโถวด้านหน้า"....ตำนานเป็นจริงหรือนี่....ไก่ฟ้าสุริยัน...!!"พยัคฆอุทานขึ้นอย่างตกตะลึง"เออ คุณพยัคฆคะ ไม่ทราบว่านี่คืออะไรคะ คุณพอจะรู้จักไหมคะ?"สกายร่าชี้ให้พยัคฆดูวัถุคล้ายกับดาบที่ปักอยู่บริเวณประตูทางเข้า แต่พยัคฆยังไม่ทันที่จะตอบอะไรมือของสกายร่าก็ไปโดนเข้าพอดี ทำให้กลไกทุกอย่างในวิหารหยุดลงและวัถุนั้นก็หลุดติดมือของสกายร่าออกมาด้วย"....อะไรกัน คนพวกนี้ใช้ดาบเล่มนี้เป็นกุญแจเช่นนั้นหรือ?!"พยัคฆพูดด้วยความประหลาดใจ
.
.
หลังจากที่กลไกทุกอย่าภายในวิหารหยุดทำงานลง สกายร่าและพยัคฆได้เดินเขาไปภายในโถงนั้น ซึ่งภายในห้องนั้นมีขนานกว้างกว่าทุกห้องที่เขาเคยผ่านมา"....คิดว่า นี่คือห้องโถงหลักนะ...."พยัคฆพูดขึ้น"ฉันก็คิดว่า น่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ..."สกายร่าพูดเสริมและค่อยๆเดินสำหรวจไปเรื่อยๆจนถึงกลางห้อง ตรงพื้นกลางห้องนั้นมีช่องอยู่ช่องหนึ่ง ทั้งสองคนจึงเดินเข้ามาสำหรวจดู"เมื่อกี้คุณบอกว่า ดาบเล่มนี้คือกุญแจใช่มั้ยคะ?"สกายร่าถามขึ้น"ใช่ ทำไมรึ?"พยัคฆสงสัย"...ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันคิดว่า ฉันจะใช้ดาบเล่มนี้ลองใส่เข้าไปในข่องนี้ เพราะเท่าที่ฉันเห็น ขนาดของช่องนี้มันน่าจะพอดีกับดาบเล่มนี้อยู่น่ะค่ะ!"สกายร่าพูดแล้วนั่งลงและค่อยๆปักดาบเล่มนั้นลงไปในช่องจนเหลือเพียงกั่นดาบและด้ามจับเท่านั้น จากนั้นเธอก็ออกแรงบิดดาบเล็กน้อย จากการกระทำนั้นทำให้พื้นที่ภายใรห้องโถงนั้นเกิดสั่นสะเทือนเล็กน้อยอยู่ครู่นึง ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆหยุดลง"อ...อะไรกันหรือคะ!? หรือว่านี่จะเกิดจากที่ฉันใช้ดาบเล่มนั้นหรือเปล่า?"สกายร่าพูดอย่างตื่นๆ"....ข้าคิดว่า คงจะเป็นแค่กลไกอะไรบางอย่างเริ่มทำงานก็ได้ล่ะมั้ง"พยัคฆตอบ หลังจากนั้นไม่นาน ดาบที่สกายร่าปักลงบนพื้นนั้นก็ค่อยๆถูกกลไกดันขึ้นมาจากพื้น"คุณพยัคฆดูนั่นสิคะ! ดาบเล่มนั้นใส่ฟักดาบขึ้นมาด้วยค่ะ!"สกายร่าร้องเรียกพยัคฆพร้อมกับชี้มือไปยังดาบเล่มนั้นด้วยอาการตื่นเต้น"จริงด้วย! มันยังไงกันนะของพวกนี้?!"พยัคฆพูดด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่เห็น
.
.
หลังจากที่สกายร่าได้ดาบเล่มนั้นคืนมาแล้วและกำลังทำการสำหรวจภายในห้องต่ออยู่นั้นเอง ก็ได้เกิดแรงสะเทือนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งครั้งนี้แรงสะเทือนนั้นมากกว่าและนานกว่าครั้งแรกมาก"อะไรกันอีกล่ะครานี้?"พยัคฆพูดขึ้น แต่ทันใดนั้นก็ได้มีจักรกลรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่มีหกแขนออกมาจากพหนังห้อง"แย่หละสิ! อสูรเหล็กหกแขนนี่หว่า!!"พยัคฆอุทานขึ้น"ล...แล้วเราจะทำอย่างไรดีคะ!?"สกายร่าพูดอย่างตื่นตระหนก"ก็หนีสิ ถามได้!!"พยัคฆพูด จากนั้นทั้งคู่ก็กำลังจะหนีออกจากห้องโถวอยู่นั้นเอง สะพานที่เชื่อมกับพื้นที่ใจกลางห้องกับประตูทางเข้า-ออกได้หายไปแล้วในตอนนี้"สะพานตรงนี้มันหายไปแล้วค่ะ! คุณพยัคฆ! จะทำอย่างไรดีล่ะคะ!?!"สกายร่าถาม"โธ่โว้ย! สุดท้ายก็ต้องมาวัดดวงกับเจ้านี่หรือนี่!!"พยัคฆพูดอย่างหัวเสียก่อนที่ทั้งคู่จะหันหลังกลับไปกับอสูรเหล็กตัวนั้น"เราแค่สองคน คุณคิดว่าเราจะทำได้ไหมคะ?"สกายร่าถามความคิดเห็นของพยัคฆ"ข้าตอบไม่ได้หรอก แต่ถ้าไม่ลองดูสักตั้งก็ไม่รู้หรอก..."พยัคฆตอบ"....แล้วคุณพอจะมีแผนอะไรบ้างมั้ยคะ?"สกายร่าถามพยัคฆอีกครั้ง".....ไม่ แต่อาจต้องใช้เวลาสักหน่อย ขอด้นมันสดๆเลยล่ะกัน!"พยัคฆตอบ
.
.
ทางด้านซามูเอล หลังจากที่ล้มสัตว์จักรกลลงได้แล้วก็ทำการตามรอยเท้าของพยัคฆกันต่อ"....ป่านนี้สองคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?"สกาเล็ตพูดขึ้นอย่างใจลอย"....คงจะไปแอบนอนกันอยู่ที่ไหนสักแห่งอยู่ล่ะมั้ง....."เซ็นนะพูด"...อย่าเอาตัวเองมาเปรียบเทียบแบบนั้นสิคะ"สกาเล็ตพูดกลับ".....ข้าหมายถึง....เรื่องระหว่าชาย-หญิงต่างหากล่ะ...."เซ็นนะพูดต่อ"ร....เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้วล่ะค่ะ!"สกาเล็ตยืนยันหนักแน่น"....แน่ใจหรือ.....?"เซ็นนะพูดพร้อมทำท่าทางประกอบ"ย....อย่างไรซะ! ฉันก็เชื่อว่าพยัคฆเค้าจะไม่ทำเรื่องหน้าอายแบบนั้นกับผู้หญิงคนอื่นหรอกค่ะ!"สกาเล็ตยืนยันคำเดิม"....ผู้หญิงคนอื่น? นอกจากเจ้าหรือ...?"เซ็นนะถามสกาเล็ต เมื่อสกาเล็ตได้ยินเซ็นนะถามแบบนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็หลบหน้าเซ็นนะไปทางอื่น"....
เจ้าคิดว่าไง.....คุณชาย....?"เซ็นนะหันไปถามซามูเอลที่กำลังทำหน้าที่แกะรอย"....ช่างหัวสิ! บ้างทีเจ้านั่น อาจจะหนีกลับไปแล้วก็ได้มั้ง หรือไม่ ก็อาจจะตายไปแล้วก็ได้! ใครจะรู้?!"ซามูเอลพูดเชิงตัดบท"ท....ทำไมต้องพูดอะไรแรงๆขนาดนั้นด้วยคะ?!?"สกาเล็ตหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดของซามูเอล"....เดี๋ยวก็รู้ว่าที่ข้าพูด ว่าจะจริงหรือไม่จริง!"ซามูเอลพูดและชี้มือไปข้างหน้า"....และถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงๆหล่ะก็ ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เจ้าแน่! พยัคฆ!!"
.
.
ทางด้านพยัคฆ ในขณะที่กำลังกำลังต่อสู้กับอสูรเหล็กอยู่นั้นเอง สกายร่าได้พลาดท่า ถูกอสูรเหล็กโจมตีจนดาบหลุดมือแต่เธอก็ยังมีสติอยู่มากพอที่จะหลบการโจมตีครั้งที่สองออกมาได้อย่างทันท่วงที แต่กระนั้นอสูรเหล็กก็ได้โจมตีเธอซ้ำอีกครั้ง ซึ่งพยัคเองก็พยายามเข้าไปเปี่ยงเปนความสนใจของอสูรเหล็กแต่ก็ไม่เป็นผล ถูกอสูรเหล็กปัดกระเด็นออกไปจนเกือบจะตกขอบของพื้นตรงใจกลางห้อง เมื่อเป็นแบบนั้นสกายร่าจึงใช้ดาบที่ได้มาเข้าต่อสู้กับอสูรเหล็ก และเมื่อเธอใช้ดาบเล่มนั้นฟันลงไปยังอสูรเหล็กก็เกิดเปลวไฟขนาดใหญ่ขึ้นตามแรงเหวียงของเธอ และในที่สุดเธอก็สามารถทำลายอสูรเหล็กลงได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว"นั่น.....พลังของเอ็งรึ?"พยัคฆถามสกายร่า"ม....ไม่ใช่นะคะ!! ถึงฉันจะใช้เวทไฟได้ แต่ก็ไม่รุ่นแรงขนาดนี้หรอกค่ะ! ....หรือว่าเป็นเพราะดาบเล่มนี้?"สกายร่าพูด ทว่า หลังจากที่สกายร่าพูดจบ ดาบเล่มนั้นก็ได้หักลง"อ้าว!!? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...??"สกายร่าอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ"....อาจจะเป็นเพราะพลังที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อครู่ มันถูกปล่อยออกมากมากในคราวเดียว รวมกับดาบเล่มนั้นก็เก่ามากแล้ว ดาบเล่มนั้นเลยรับสภาวะแบบนั้นไม่ไหวถึงได้หักได้..."พยัคออกความคิดเห็น ในขณะนั้นเอง อสูรเหล็กตัวใหม่ และใหญ่กว่าตัวก่อนหน้านั้น ได้ออกมาประจันหน้ากับทั้งคู่อีกครั้ง"คราวนี้ จะทำอย่างไรดีคะ?! ฉันไม่เหลือดาบที่จะสู้แล้วนะคะ!!?"สกายร่าพูดอย่างร้อนรน"....เอาดาบของข้าไป..."พยัคฆพูดพร้อมส่งดาบให้สกายร่า"ล...แล้วคุณจะใช้อะไรสู้ล่ะคะ??!"สกายร้องถามพยัคฆ"....ข้ามีก็แล้วกัน รีบๆรับไปซะ ไม่อย่างนั้นแล้ว....เอ็งจะไม่ได้กลับไปหาพ่อของเอ็น ที่กำลังรอเอ็งอยู่ที่พรรค์กระเบนโน้นแน่!"พยัคฆพูดแกมข่มขู่และบังคับ สกายร่าได้ยินพยัคฆพูดแบบนั้นก็รีบรับดาบจากพยัคฆไปทันที"อุ๊บ!......หนักจัง...ดาบเล่มแค่นี้เอง.....!"สกายร่าพูด"....แรกๆก็เยี่ยงนี้แล ประเดี๋ยวก็ชิน ถามว่าข้าใช้อะไรสู้น่ะรึ?"พยัคฆพูด เป็นขณะเดียวกันที่อสูรเหล็กได้กระทำการโจมตีมายังทั้งสองคน แต่ก็ถูกพยัคฆใช้หมัดซ้ายต่อยสวนกลับไป ทำให้การโจมตีของอสูรเหล็กหยุดลง ก่อนที่เขาจะออกแรงดันให้อสูรเหล็กตัวนั้นกระเด็นถอยหลังจนเสียหลักล้มลงกับพื้น"....ก็ใช้ร่างกายนี้แล เป็นอาวุธ!"พยัคฆพูด"....ค......คุณทำได้อย่างไร??"สกายร่าพูดขึ้นอย่างตกตะลึง"....หลังจากนี้ เอ็งจะกลัว หรือ จะเกรียดข้า ก็ตามใจเอ็ง......เพราะตัวข้าไม่เหมือนคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่เจ้าพวกนั้นก็ยังได้มีผู้ใดรู้ไม่!"พยัคฆพูด เป็นขณะเดียวกันกับทึ่อสูรเหล็กลุกขึ้นมาอีกครั้ง และกำลังจะเข้ามาโจมตีใส่ทั้งสองคนอีกครั้งแต่ก็กลับถูกโจมตีใส่จนลงไปนอนกับพื้นอีกครั้ง
.
.
".....เหลือเชื่อ....ยังอยู่ครบดีนี่...."เซ็นนะพูดกับพยัคฆ"อ้าว....เจอหน้ากันที จะทักทายให้กันดีๆไม่ได้หรือไรวะ??"พยัคฆพูดกับเซ็นนะ"ก็ดีแล้วนี่คะ ปลอดภัยกันดีทั้งสองคน ก็......??"สกาเล็ตหยุดพูดเมื่อหันไปมองซามูเอล"....ฮึ..."เสียงในลำคอของซามูเอล"อะไรของเอ็งวะ?"พยัคฆถาม"....ดูเหมือนว่า เจ้าจะยอมรับในพลังของตัวเจ้าเองแล้วสินะ...."ซามูเอลพูดขึ้น"เฮอะ!"เสียงของพยัคฆดังขึ้น"....คือ....จริงๆแล้ว....พวกเรารู้เรื่องนี้กันมานานแล้วล่ะค่ะ....แต่ครูไม่อยากให้พวกเราพูดถึงเรื่องนี้กันค่ะ เพราะกลัวว่าเธอจะคิดว่าพวกเราจะมองเธอเป็นตัวประหลาด ต....แต่ว่า!"สกาเล็ตพูด"....ก็ครอบครัวเดียวกันนี่นะ....คนอื่นไกลซะที่ไหน...."เซ็นนะพูดแซงสกาเล็ต แต่กระนั้นอสูรเหล็กตัวนั้นก็ยังสามารถที่จะดันตัวเองขึ้นมาได้อีก"บ๊ะ! นี่ยังไม่ยอมล้มอีกรึ!"พยัคฆพูด"....งั้นก็รีบๆทำลายมันซะ จะได้กลับกันสักที!"ซามูเอลพูด"...ก็ว่างั้นนะ...ข้างวงจะแย่อยู่แล้ว...."เซ็นนะพูดเสริม"นั้นสินะ....ฉันเองก็มีหนังสือที่ต้องอ่านอีกสองตั้งใหญ่ๆด้วยนะคะ!"สกาเล็ตพูด"....ไอ้เจ้าพวกนี้...."พยัคฆพูดพร้อมกับยิ้มมุมปากน้อยๆ"ฮิๆ ฮ่ะๆๆ! คุณพยัคฆ คุณน่ะ มีเพื่อนที่ดีนะคะ ฉันน่ะอิจฉาคุณเลย..."สกายร่าพูด"กระนั้นรึ...."พยัคฆพูด"....ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะขอเป็นเพื่อนกับคุณและทุกๆคนด้วยนะคะ!"สกายร่าพูด 
.
.
.
.
"....ว่าแต่ พวกเอ็งหาพวกข้าสองคนเจอได้เยี่ยงใดกัน?"พยัคฆถามพวกซามูเอล"....เพราะพลังแห่งความหึง...."เซ็นนะพูดพร้อมชี้ไปที่สกาเล็ต"....นางใช้พลังเวททำลายผนังวิหารทั้งหมด โดยไม่บอกใครเลยยังไงล่ะ! พวกเราถึงพบพวกเจ้าได้!"ซามูเอลพูด"ฉ....ฉ....ฉันไม่ได้หึงนะคะ!! แล้วก็ฉันก็คิดว่าควรทำในสิ่งที่ควรทำ ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอโทษทั้งสองคนด้วยนะคะ....ที่ไม่ได้ปรึกษากันก่อน....พ...เพราะว่า...ฉ...ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆนะ....แต่พอเห็นว่า(พวก)เธอปล่อดภัย...ฉันก็ดีใจ....."สกาเล็ตพูด"....ขอบใจ..."พยัคฆพูดพร้อมกับเดินเข้าไปกอดทั้งสามคน"....ฮึ! ร้องไห้หรือ เจ้าขี้แย?"ซามูเอลพูด"....หนวกหูจริง....ไอ้เจ้าบ้า...."
.
.
ณ.เมืองสุวรรณโคม ที่บริเวณเรือนรองรับของพรรค์กระ ไซย์และเดชากำลังนั่นรอการกลับมาของทุกคน"....จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ?"ไซย์พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ"....อย่ากังวลไปเลยน่าท่านแม่ทัพ หากคืนนี้พวกนั้นยังไม่มา อย่างไรซะ การเดินทางในป่าแบบนั้นในเวลากลางคืนเช่นนี้มีอันตรายอยู่มากนัก พรุ่งนี้พวกนั้นก็คงจะมาถึงเอง...."เดชาพูดปลอบใจไซย์หลังจากที่ทดเห็นความกระวนกระวายของไซย์ไม่ไหว"....คุณดูใจเย็นมาก ไม่ต่างกับตอนนั้นเลย...."ไซย์พูด"....ไม่หรอก คนเรายิ่งแก่ตัว ก็ยิ่งใจเย็นลง จะให้โจนทะยานเหมือนกับเด็กๆพวกนั้นแล้วก็ใช่ที่...."เดชาพูดตอบ"....ดูเหมือนว่าคุณจะเชื่อมั่นในตัวเด็กพวกนั้นมากเลยนะครับ....?"ไซย์พูดต่อ"....มีครู-อาจารย์ที่ไหนบ้าง ที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวลูกศิษย์ของตนเองบ้าง? และจะมีพ่อ-แม่คนไหนบ้าง ที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวบุตรของตนบ้าง....?"เดชาตอบ"...จริงของคุณ"ไซย์พูดสั้นๆ"คุณพ่อ! คุณพ่อคะ!! หนูมาแล้ว!!"เสียงของสกายร่าดังขึ้น"ลูกพ่อ!!?"ไซย์พูดขึ้นเมื่อเห็นสกายร่ากำลังวิ่งเข้ามาหา เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาสกายร่าแล้วกอดเธอเอาไว้แน่น".....ปลอดภัยดีนะลูก?!"ไซย์ถามสกายร่าผู้เป็นลูกสาว"ค่ะ....หนูไม่เป็นไรค่ะ หนูปลอดภัยดี...."สกายร่าตอบทั้งน้ำตาแห่งความดีใจ".....ภาระกิจเสร็จสิ้นครับอาจารย์...."ซามูเอลพูดกับเดชา"....พวกเจ้าทำได้ดีมาก ปลอดภัยกันดีนะ....?"เดชาถาม".....ครับ/ค่ะ!"ทุกคนตอบพร้อมกัน"....เอาล่ะ พวกเจ้าไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนกันก่อน เดี๋ยวค่อยมากินอาหารกันอีกสิบห้านาที...."เดชาบอกกับพวกซามูเอล"ขอบคุณอาจารย์(พ่อ/ครู)มากครับ/ค่ะ!"ทุกคนพูดพร้อมกันอีกครั้งก่อนจะแยกย้ายกันไปยังที่พักของตน"....พ่อครู...ท่านบอกเรื่องนั้น กับพวกนั้นหรือขอรับ?"พยัคฆถามเดชา"....แล้วลูกได้คำตอบของตัวเองแล้วหรือยังล่ะ?"เดชาไม่ตอบแต่ส่งคำถามกลับไปหาพยัคฆ"....ข้ารู้แล้วขอรับ พ่อครู!"พยัคฆตอบเดชาก่อนที่จะขอตัวออกไปพักผ่อน ในคืนนั้นทุกคนรวมทั้ง ไซย์และสกายร่า ได้รวมทานอาหารค่ำด้วยกันกับพวกของเดชา ต่างพูดคุุยถึงเรื่องเรื่องราวมากมากที่เกิดขึ้้นกับสกายร่าและพวกของซามูเอล รวมถึงยังเล่าเรื่องราวของพวกตนในสมัยที่เคยร่วมรบด้วยกันอีกด้วย หลังจากนั้นสกายร่าได้แนะนำพยัคฆ,ซามูเอล,เซ็นนะ และสกาเล็ต ให้กับไซย์ผู้เป็นพ่อของเธออีกด้วย
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนได้ออกมาส่งไซย์และสกายร่า ตรงบริเวณท่าจอดเรือบิน"ขอบคุณ คุณเดชามากๆนะครับ ที่ช่วยเหลือลูกสาวผม..."ไซย์พูด"ไม่เป็นไรหรอก หากว่าท่านจะขอบคุณ ก็ต้องเป็นเด็กๆพวกนี้ถึงจะถูก...."เดชาพูด"....คำขอบคุณไม่จำเป็นหรอกครับ ขอแค่เราได้มีส่วนร่วม ก็เป็นเกียรติแล้วล่ะครับ..."ซามูเอลพูด"....นั่นสินะ...."เซ็นนะเสริม"จริงด้วยค่ะ!"สกาเล็ตเสริมอีกคน"....คิดว่า เราคงจะได้พบกันอีกนะ เหล่าจอมยุทธ!"ไซย์พูดกับทุกคน ก่อนที่จะหันหลังเดินขึ้นเรือไป"คุณพยัคฆ ทุกคนคะ ที่ผ่านมา ฉันขอบคุณทุกคนนะคะที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้...."สกายร่ากล่าวขอบคุณพยัคฆกับเพื่อนๆ"....เอานี่ รับไว้ เพราะมันมิจำเป็นสำหรับข้าอีกต่อไปแล้ว ข้ายกให้!"พยัคฆพูดแล้วส่งดาบที่ตนนำมาด้วยส่งให้กับสกายร่า"...แล้วคุณ....?"สกายร่าถามพยัคฆ"ก็รู้อยู่มิใช่รึ?"พยัคฆตอบสั้นๆ".....ขอบคุณมากๆนะคะ! ทุกคนคะ หวังว่าพวกเราคงจะได้พบกันอีกนะคะ!! ลาก่อนค่ะ!!"สกายร่ากล่าวอำลา ก่อนที่จะขึ้นไปบนเรือบินตามหลังไซย์ไป และเรื่อบินลำนั้นก็ค่อยๆลอยสูงขึ้นและบินจากไปจนลับตา"....ฉันจะจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้ตลอดไป ฉันขออธิฐาน ให้พวกเราได้พบกันอีกด้วยเถอะ...."สกายร่าพูดขึ้นเบาๆและกอดดาบที่พยัคฆให้มา เอาไว้แน่น
.
.
"พ่อครู! กรุณาด้วยเถอะขอรับ กรุณาช่วยสอนวิชาหมัดมวยให้ข้าด้วยเถอะขอรับ!!"พยัคฆคุกเข่าขอร้องต่อเดชา"....ทำไมถึงได้อยากเรียนวิชานี้นักล่ะลูก?"เดชาถามพยัคฆ"....หากว่าข้าใช้อาวุธอื่นก็เท่ากับว่า ข้าปิดกั้นพลังของตนเอง เช่นนั้นแล้ว ข้าจะปกป้องอันใดได้หรือ?!"พยัคฆตอบเสียงหนักแน่น"....แต่วิชานี้ยากกว่าวิชาสายอื่นๆของเราเชียวนะ! ลูกก็รู้ดีไม่ใช่หรือ? พ่อว่าลูกควรคิดให้ดีเสียก่อนจะดีกว่า..."เดชาอธิบาย"ข้าตรองดีแล้วพ่อครู ข้าไม่สนว่าจักยากเพียงใด หรือ ใครจะมองข้าว่าเช่นใดก็ชั่ง ข้าไม่สนแล้ว กับการเป็นผู้กล้าอะไรนั่น! ข้าจะเป็นนักล่าสัตว์ร้าย เพื่อปกป้องครอบครัวของข้า ข้าตัดสินใจแล้ว!!"พยัคฆยืนยันอย่างหนักแน่น"ให้มันได้อย่างนี้สิลูกพ่อ! หากลูกตั้งใจแน่วแน่ขนาดนี้แล้ว พ่อจะช่วยลูกเอง!!"เดชาพูดอย่างชื่นชม"จริงหรือขอรับพ่อครู?! ขอบพระคุณพ่อครูมากๆขอรับ!!"พยัคฆพูดอย่างดีใจ
.
.
.
.

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2561

The grappling: origins

สามปีมาแล้วที่พวกเราต้องออกเดินทางไปเรื่อยๆ ตามทางของทหารรับจ้าง หลังจากที่สงครามใหญ่ระหว่างสามแคว้นทางตอนใต้ได้จบลง ฝ่ายตะวันตกเป็นฝ่ายชนะ พวกเราเองในฐานะทหารรับจ้าง เมื่อสงครามยุติลง พวกเราจึงต้องออกเดินทางกันต่อไปเพื่อที่จะหางานใหม่ นายจ้างคนใหม่ และสงครามครั้งใหม่ ข้าแม้จะเบื่อหน่ายกับสงคราม แต่ในฐานะของผู้นำ"กองทัพหมาป่า"แล้ว ข้า"อัคคี สักยะ"จึงจำเป็นต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด เพื่อดูแลคนในกองทัพแล้วข้าจึงจำเป็นต้องทำ และตอนนี้ข้าและกองทัพของข้าได้ปักหลักอยู่ที่ปราสาท"วากิว"ใก้ลๆกับตอนกลางของทวีปนี้ และนายจ้างคนใหม่ของข้าคือราชาวัยชราคนนึง ที่อยู่ในปราสาทกับพวกอัศวินอีกหนึ่งกองพัน แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามอย่างที่ข้าคิด"อ้าวเฮ้ย!! พวกนั้นยกธงขาวยอมแพ้เฉยเลย ดูสิ!!"เสียงแจ็คเกอร์ตะโกนบอกข้า และมันก็จริงอย่างว่า พวกนั้นยอมแพ้ทั้งๆที่ฝ่ายเรากำลังจะช่วยอัศวินพวกนั้นพลิกสถานะการณ์ได้อยู่แล้วเชียว.....
แต่ก็แน่ล่ะ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว"....จะเอาไงดี?"แจ็คเกอร์ถามข้า ข้าเลยตอบไปว่า"เรียกรวมพล ดูว่าเราเหลือกันเท่าไหร่.."พอข้าพูดจบ แจ็คเกอร์จึงส่งสัญญาณให้คนนำธงส่งสัญญาณให้กับทุกคนในกองทัพรู้....
หลังจากนั้นแจ็คเกอร์ก็มาบอกข้าว่า"...ตอนนี้เรามีคนเจ็บอยู่เกือบสองร้อยคน เสียไปเกือบสองพันคน ส่วนพวกที่ยังปกติรวมเราสองคนก็ราวๆแปดพันสามร้อยคน...?"แจ็คเกอร์พูด ข้าเองก็รู้ดีว่าครั้งนี้เราเสียคนมือดีไปไม่น้อยเหมือนกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก"....ช่วยกันพาคนเจ็บไปรักษา ส่วนคนที่ตายเราจะทำเท่าที่ทำได้นะ...."ข้าพูด สิ่งที่ข้าพูด ที่บอกว่า"ส่วนคนที่ตายเราจะทำเท่าที่เราทำได้"นี่คือเจตนารมณ์ที่ถูกฝากฝังจากผู้นำกองทัพทุกรุ่นของกองทัพนี้ก็คือ"ทุกคนคือครอบครัว" แต่ข้าเองก็ต้องแยกตัวไปทวงค่าจ้างที่เหลือจากราชาเฒ่าคนนั้นเสียก่อน ก็ได้แต่หวังว่าตาเฒ่านั่นคงยังไม่ตายซะก่อนนะ....
No

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

The grappling

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เอล์ฟ หรือ ออร์ค ต่างก็มีหนทางของตัวเองด้วยกันทั้งนั้นแหละน่า
.
.
.
.
.
.
   กาละครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่เหล่าทวยเทพได้ช่วยกันสร้างโลกใบนี้ มีน้ำ แผ่นดิน และต้นไม้ หลังจากนั้นเหล่าทวยเทพได้สร่างเหล่าสรรพสัตว์และเอล์ฟเพื่อเป็นผู้ที่ดูแลทุกสิ่งบนโลกใบนี้แทนพวกตน ทว่าเทพแห่งความมืดได้สร้างออร์คเพื่อก่อกวนเหล่าทวยเทพ เพราะเทพแห่งความมืดนั้นไม่พอใจที่เหล่าทวยเทพไม่ได้ชักชวนตนในการสร้างโลก หลังจากที่เทพแห่งความมืดได้ส่งออร์คออกไปก่อกวนเหล่าทวยเทพแล้วเหล่าเอล์ฟได้รวมกำลังกันต่อต้านพวกออร์คอย่างเต็มกำลัง จนสามารถต้านกองกำลังของออร์คไว้ได้ในที่สุด  ทว่า เทพแห่งความมืดยังไม่ลดละความพยาบาท จึงสร้างเหล่าออร์คมากขึ้นและแข็งแกร่งมากขึ้น เเละเมื่อลงสู่สมรภูมิเหล่าออร์คกลุ่มใหม่นั้นสรามารถเอาชนะเหล่าเอล์ฟได้อย่างราบคาบ เมื่อเหล่าทวยเทพเห็นความพ่ายแพ้ของเหล่าเอล์ฟจึงรวมตัวปรึกษากันเพื่อหาทางช่วยเหลือเหล่าเอล์ฟที่เหลืออยู่ จงลงมัติกันว่าจะสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่เพื่อช่วยเหลือเหล่าเอล์ฟ แต่ด้วยเวลาที่จำกัดเพราะเหล่าออร์คนั้นได้กระทำการรวบรวมกำลังพลเพื่อที่จะยกทัพมาปราบปรามเหล่าเอล์ฟให้สิ้นซาก จึงทำให้สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่สมบูรณ์และได้ชื่อว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ ถึงแม้ว่ามนุษย์กับเอล์ฟจะสามารถรวมพลังกันต้านทานกองทัพของออร์คได้ แต่ด้วยจิตใจของมนุษย์นั้นไม่สมบูรณ์ จึงทำให้มนุษย์บางส่วนถูกเทพแห่งความมืดล่อลวงได้โดยง่ายเพื่อให้เป็นปรปักษ์กับเหล่ามนุษย์ด้วยกันร่วมทั้งเหล่าเอล์ฟและทวยเทพด้วย มนุษย์เหล่านั้นได้เข้ารวมกับกองทัพออร์คและทำสงครามกับพวกพ้องของพวกตนเองในอดีต สงครามนั้นยืดเยื้อเป็นเวลานาน ถว่าท่ามกลางกองทัพของออร์คนั้นได้เกิดสงครามภายในขึ้นเมื่อ ออร์คกลุ่มใหม่นั้นได้กระการขับไล้กลุ่มออร์ครุ่นก่อน เนื้องด้วยออร์ครุ่นก่อนนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าออร์ครุ่นใหม่ จึงเกิดสงครามภายในขึ้นมาอย่างลับๆ และผลที่ออกมาก็คือเหล่าออร์ครุ่นเก่าพ่ายแพ้ให้แก่เหล่าออร์ครุ่นใหม่และถูกกวาดล้างส่วนพวกที่เหลือได้หลบหนีกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ บางกลุ่มได้เข้าร่วมกลุ่มกับมนุษย์และเอล์ฟเพื่อต้องการที่จะทวงที่อยู่ของพวกตนคืนและล้างแค้นให้กับพวกพ้องของตนเองที่ตายไปเช่นกัน
   สงครามยังดำเนินต่อไปอีกหลายร้อยปี จนกระทั่งเทพแห่งความมืดได้จากเหล่าพวกออร์คไป พวกออร์คที่เหลือยจึงสับสนว่าจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อนายของตนได้จากไปแล้ว จึงตกลงกันว่าจะขอทำสงครามครั้งสุดท้ายเพื่อให้เป้าหมายของพวกตนสำเร็จตามที่ต้องการ จึงรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีและบุกตีกองทัพของเหล่ามนุษย์ เอล์ฟ และทวยเทพให้ย้อยยับในคราวเดียว เหล่ามนุษย์ เอล์ฟ ออร์ครุ่นเก่าและทวยเทพ ต่างเข้ารบรากับกองทัพออร์คขนาดมหึมาที่สุดเท่าที่เคยพบมา หลังจากสงครามสงบลงฝ่ายธรรมะได้รับชัยชนะ เหล่าออร์คที่พ่ายแพ้ถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินแห่งเมิล์ลิน ส่วนมนุษย์ที่หลงผิดไปเข้ากับฝ่ายศัตรูได้ถูกเหล่าทวยเทพสาปให้กลายเป็นเหล่าอสุรกายและสัตว์ร้ายจนชั่วลูกชั่วหลาน เหล่าออร์คที่เข้ามาเป็นพันธมิตรกับฝ่ายธรรมะเหล่าทวยเทพได้คืนพื้นที่ที่เคยเป็นของตนเองที่ถูกออร์ครุ่นใหม่ยึดไปแล้วคืนให้ และเล่ามนุษย์ที่ร่วมกันกับกองทัพเอล์ฟตั้งแต่ต้นจนจบ เหล่าเทพได้ยกแผ่นดินแห่งเมิล์ลินให้เป็นที่อยู่อาศัยไปจนชั่วลูกชั่วหลาน และเหล่าเอลฟ์ผู้ซื่อสัจของเหล่าเทพ เหล่าเทพได้มอบชีวิตอันยืนยาวให้เป็นของขวัญ และทุกเผ่าพันธุ์ก็ดำรงชีวติกันอย่างมีความสุข และเมื่อวันเวลาผ่านไปอย่างยาวนานเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นตำนานไว้เล่าขานไว้ให้ลูกหลานสืบต่อไป

.
.
.
.
ออร์ค
คือสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์ ร่างกายกำยำ มีพละกำลังมาก มีกล้ามเป็นมัดๆ(ทั้งเพศชายและหญิง แต่เพศหญิงจะตัวเล็กกว่าเพศชายเล็กน้อย แต่พละกำลังนั้นไม่ได้ด้วยไปกว่ากันเลย) บางตัวมีเขี้ยวงอกออกมาจากปาก ออร์คจะมีความคิดหรือมันสมองแบบเดียวกำมนุษย(บางตัวอาจจะฉลาดกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ) จริงๆแล้วออร์คแต่กต่างจากยักษ์ คือ ร่างกายจะคล้ายมนุษย์มากกว่ายักษ์และจะมีมันสมองและความคิดไปทางมนุษย์มากกว่ายักษ์ ระบบสังคมของออร์คนั้นจะเหมือนกับมนุษย์คือ มีห้วหน้า รองหัวหน้า และพลเรือน และมักจะให้เกียรติผู้สูงวัยเสมอ เเม้ออร์คจะถนัดเรื่องการต่อสู้กว่ามนุษย์แต่เรื่องงานบ้านก็สามารถทำได้เช่นกัน(บางครั้งอาจดีกว่ามนุษย์) ออร์คมักจะนับถือบรรพบุรุษและวีรบุรุษ(หรือผู้กล้า)(ทั้งยังมีชีวิตและล่วงลับ)รวมถึงเทพเจ้าองค์ต่างๆด้วย แม้ออร์คจะดูหน้าตาไม่เป็นมิตรอยู่บ้างแต่ก็ยังมีออร์คบางกลุ่มที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์อย่างสันติ ออร์ค แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ
1.กลุ่มชอนวู กลุ่มนี้คือ ออร์คยุคแรกที่มีบนโลก มีความสามารถแบบออร์คทั่วไปแต่ชอบอยู่อย่างสันติ และเป็นออร์คกลุ่มเดียวที่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์หรือเอลฟ์ได้อย่างกลมกลืน เป็นออร์คที่รักสงบในยามปกติ แต่เมื่อไรที่ถูกคุกคาม ออร์กลุ่มนี้จะเข้าตอบโต้อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
2.กลุ่มคูซอนล์ กลุ่มนี้คือออร์ครุ่นหลังจาก กลุ่มชอนวู เป็นออร์คที่เกิดมาเพื่อต่อสู้โดยเฉพาะ หลังจากสงครามอันยาวนานได้จบลง ออร์คกลุ่มนี้ได้ถูกขับไล่จนต้องหลบซ้อนอยู่ใต้ดินของดินแดนเมิล์ลิน แต่บางครั้งก็ขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์แล้วหนีหายลงไปใต้ดิน หรืออย่างร้ายที่สุดคือ ก่อสงครามในหัวเมืองเล็กๆตามแค้วนต่างๆ จนบางครั้งก็ถูกกองทัพของเอลฟ์ขับไล่ก็มี
.
.
.
.
เอลฟ์
คือสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์(ออกจะสง่างามกว่ามนุษย์) หูยาว(แหลม) มีทักษะในการยิงธนูและใช้เวทมนต์และความคล่องตัวสูงกว่ามนุษย์รวมถึงอายุยืนยาวกว่ามนุษย์จนเกือบจะเป็นอมตะ แต่ถ้าหากบาทเจ็บมากๆก็อาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้ ระบบสังคมของเอลฟ์นั้นก็จะคล้ายกับมนุษย์คือ มีหัวหน้า รองหัวหน้า และพลเรือน เอลฟ์มักนับถือเทพต่างๆรวมถึงมนุษย์ที่มีความกล้าหาญและซื่อสัตย์(ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และล่วงลับ) ส่วนใหญ่เอลฟ์จะอาศัยอยู่ตามป่าลึกหรือพื้นที่ที่คนทั่วไม่ค่อยเข้าไปรบกวน
.
.
.
.
มนุษย์
เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีมากที่สุดและกระจายไปอยู่ตามที่ต่างๆเกือบทุกที่บนแผ่นดินในทุกทวีป มักอยู่รวมกันเป็นชุมชนหรือเมือง มีระบบการปกครองแบบชนชั้น ผู้นำ(กษัตย์) รองผู้นำ(ขุนนาง) และพลเมือง มีทักษะในด้านต่างๆโดยเฉพาะการเพาะปลูกและการปศุสัตว์ มีประเพณีเป็นของตนเองในแต่ละท้องที่ ส่วนใหญ่จะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จนเกิดเป็นลัทธิต่างๆทั่วแผ่นดิน แต่กระนั้นก็ยังเคารพนับถือเทพองค์ต่างๆ และผู้ที่สูงอายุกว่า โดยปกติมนุษย์เหมือนจะอยู่กันอย่างสงบสุข แตก็ทำสงครามแย่งชิงดินแดนกันเองอยู่บ่อยครั้ง ทั้งนี้เพราะมนุษย์นั้นลุ่มหลงในอำนาจ(พลัง)และทรัพย์สินเงินทอง จึงเกิดสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเพื่องช่วงชิงสิ่งเหล่านี้มาอย่างยาวนาน
.
.
.
.
.
นักดาบเร่ร่อน
  ณ.ชายป่าแห่งหนึ่งบริเวณชาญเมือง"คลิมตัส์"แห่งแค้วน"วินเดอร์" รถม้าคันนึงกำลังแล่นผ่านไปตามถนนและกำลังจะถึงทางออกจากป่าอยู่นั้น ได้มีกลุ่มคนออกมาจากข้างทางแล้วเข้ามาขวางหน้ารถม้าคันนั้นเอาไว้เเละเมื่อรถม้าหยุดลงคนกลุ่มนั้นก็ได้ล้อมรถม้าคันนั้นเอาไว้"หยด! นี่คือการปล้น! ส่งของมีค่ามาให้หมด!แล้วอย่าส่งเสียงถ้ายังไม่อยากตาย!!"ชายคนนึงเหมื่อนเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรออกคำสั่ง"จ....ใจเย็นๆนะพ่อหนุ่ม ข้ามีเงินติดตัวมาไม่มาก....แต่ข้าจะให้พ่อหนุ่มเดี๋ยวนี้แหละ....อย่าทำอะไรพวกข้าเลยนะ...."ชายแก่คนขับรถม้าพูดด้วยอาการหวาดกลัว"....แล้วอีกคนบนรถม้าหละ ลงมาเดี๋ยวนี้!!"หัวหน้าโจรออกคำสั่งอีกครั้ง ครู่ต่อมาได้มีหญิงสาวคนนึงลงมาจากรถม้า"....เรามาแล้ว...."หญิงสาวพูด"ดูนี่สิด็กๆ! ดูท่าว่าวันนี้เราจะดวงดี ได้พวกชนชั้นมาด้วสิ!!"หัวหน้าโจรพูดกับลูกน้อง"จริงด้วยลูกพี่!"ลูกน้องคนสนิดตอบกลับ"ย...อย่าทำอะไรคุณหนูของข้าเลยนะ ข้าขอร้อง ถ้าคุณหนูข้าเป็นอะไรหละก็ ข้าคงถูกตัดหัวแน่ๆ!!"ชายแก่ขอร้องต่อหัวห้ากลุ่มโจร"....ได้สิไอ้แก่! ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะนำของทั้งหมดมาให้ข้า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าทั้งสองคนออกไปโดยที่จะไม่ทำอะไรพวกเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ...."หัวหน้าโจรพูด"ด....ได้! ข้าจะไปหยิบให้เดี๋ยวนี้แหละ....."ชายแก่พูดด้วยอาการลนลานและเดินไปหยิบของมีค่าทั้งหมดออกมาให้กับหัวหน้าโจร พลันมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาจากด้านหลังของกลุมโจร"....รังแกคนแก่รึ ทุเรศ!"ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่จัดการกับพวกลูกสมุนของหัวหน้าโจรไปแล้วจำนวนหนึ่ง"เจ้า! นี่เจ้ากล้าเข้ามาขวางพวกข้างั้นหรือ?!"หัวหน้าโจรพูดกับชายหนุ่มที่เข้ามาขัดขวางการปล้นของตน"ก็เอ่อสิวะ! แล้วข้าก็จะจับตัวพวกเจ้าทุกคนส่งทางการณ์ด้วย!"ชายหนุ่มพูดอย่างไม่เกงกลัว"เจ้านี่โอหังจริงนะ เจ้าเพียงแค่คนเดียวจะสู้กับพวกข้าสิบคนได้น่ะห๋า!!"หัวหน้าโจรพูดอย่างเย้ยหยัน"....ใครบอกว่าพวกเจ้ามีสิบคนน่ะ ดูซะให้ดีๆ ข้าจัดการไปแล้วห้า ก็เหลือพวกเจ้าที่ยังยืนอยู่อีกห้าไม่ใช่หรอ?"ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้านิ่งๆพร้อมกับขยับดาบในมือแล้วเข้าจู่โจมเหล่าโจรที่เหลืออย่างรวดเร็ว"อ...อะไรกัน!? นี่มันมีแค่คนเดียวจริงๆรึ?!"หัวหน้าโจนพูดเมื่อเห็นเหล่าลูกน้องที่เหลือถูกจัดการอย่างรวดเร็ว"ลูกพี่ดูนั่นสิ เจ้านั่นยังไม่ได้ปลดดาบออกจาฝัดเลยนะลูกพี่!!!"ลูกน้อคนสิดพูดกับหัวหน้าของตนด้วยอาการหวั่นๆ"จ....เจ้าเป็นใครกันแน่?! นักล่าค่าหันหรือ?! หรือว่ามือปราบ?!"หัวหน้าโจรพูดพร้อมกับชี้มืออันสั่นเทาไปที่ชายหนุ่ม"....ข้าเป็นแค่นักดาบเร่ร่อนธรรมดาๆคนนึงเท่านั้นแหละ...."ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะเข้าไปจัดการกับหัวหน้าโจรกับลูกน้องที่เหลือจนหมด
   "....ต้องขอบใจพ่อหนุ่มจริงๆ ที่มาช่วยพวกเราเอาไว้..."ชายแก่กล่าวขอบคุณแก่ชายหนุ่ม หลังจากที่ชายหนุ่มได้จัดการกับเหล่าโจรได้หมดลงแล้ว"ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ว่าแต่ลุงกับคุณหนูของลุงไม่เป็นไรนะ?"ชายหนุ่มถามชายแก่กลับไป"พวกเราไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าหากพ่อหนุ่มมาช้ากว่านี้พวกเราอาจจะแย่ไปแล้วก็ได้!"ชายแก่พูด"แล้วท่านจะทำอย่างไรกับคนพวกนี้กันหรือคะ...?"หญิงสาวถามชายหนุ่ม"ข้าจะพาตัวพวกนี้ไปส่งทางการณ์ที่ป้อมของทหารตรวจการณ์ที่อยู่ใกล้ๆนี่แหละครับคุณหนู"ชายหนุ่มตอบ"....ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเราช่วยพาพ่อหนุ่มไปส่งที่ป้อมตรวจการณ์นั้นดีกว่านะ ถือซะว่าเป็นการตอบแทน...."ชายแก่เสนอ"ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ป้อมตรวจการณ์อยู่ใกล้แค่นี้เองเดินไม่ถึงชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว อีกอย่างนะลุง....นี่ก็ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ถ้าลุงยังไม่รีบเข้าเมืองหละก็อาจจะเจอเรื่องแบบนี้อีกก็ได้นะครับ...."ชายหนุ่มพูดอย่างมีเหตุผล เมื่อชายแก่ได้ยินดังนั้นก็ได้หันไปมองหน้าของหญิงสาวแล้วหันกลับมาที่ชายหนุ่มก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่"....จริงของเจ้า ถ้าอย่างนั้นพวกเราทั้งสองคนต้องขอลาพ่อหรนุ่มไปตรงนี้แล้วล่ะ...."ชายแก่พูดด้วยสีหน้าผิดหวัง"ครับลุง ขอให้โชคดีนะครับ"ชายหนุ่มกล่าวอำลา"ท่านเองก็ระวังตัวด้วยนะคะ แล้วก็ขอให้ท่าโชคดีเช่นกันค่ะ..."หญิงสาวพูดกับชายหนุ่มก่อนที่ทั้งสองคนจะขึ้บรถม้าแล้วชายแก่ก็ได้ขับรถม้าจากไปจนลับตา
    หลังจากที่ชายแก่จากไปแล้วนั้น ชายหนุ่มได้ใช้เชือกที่พวกโจรพกตัดตัวมาด้วยนั้นมัดพวกโจรเอาไว้ และในขณะที่ชายหนุ่มกำลังวุ่นอยู่นั้นก็ได้มีกองทหารตรวจการณ์ผ่านมาพอดี ชายหนุ่มจึงเล่าเรืองทุกอย่างให่กับทหารกลุ่มนั้นได้ฟัง และพวกทหรารเองนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใดๆออกจากปากของทหารเหล่านั้นเลย หลังจากที่ส่งตัวโจรกลุ่มนั้นให้กับทหารตรวจการณ์แล้วชายหนุ่มได้รับเงินรางวัลเป็นสินน้ำใจตอบแทนจากพวกทหารตรวจการณ์ก่อนที่ทหารกลุ่มนั้นจะจากไปและชายหนุ่มได้ออกเดินทางต่อไป"....ฟ้าเริ่มมืดแล้วสิ...จะทันมั้ยนะ?"ชายหนุ่มบ่นพึมพัมพร้อมกับเดินเร็วขึ้นและมองท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงเป็นระยะๆ"อ้าว พ่อหนุ่ม! จะรีบเดินไปไหนกัน?"เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างทาง และเมื่อเขาหันไปดูก็พบกับชายแก่คนที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อครู่"อ้าวลุง! ยังไม่ได้เข้าเมืองอีกหริอครับ?"ชายหนุ่มร้องถามชายแก่"อ๋อ พอดีเมื่อครู่ ข้าทำสำภาระตกรถน่ะ เลยต้องจอดเก็บ..."ชายแก่พูดกับชายหนุ่ม"....ให้ข้าช่วยไหม?"ชายหนุ่มออกปากอาสาช่วยชายแก่เก็บสำภาระที่ตกอยู่บนพื้น"ไม่ต้องหรอก เหลือแค่กล่องนี้กล่องเดียวเอา ว่าแต่ดูท่าว่าเจ้าเองก็จะไปในเมืองนี้เหมือนกันสินะ?"ชายแก่ถามชายหนุ่ม"ครับลุง พอดีข้ามีธุระที่ต้องเข้าไปทำในเมืองนี้น่ะครับ..."ชายหนุ่มตอบ"แบบนั้นก็ดีเลย! ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขอไปส่งเจ้าจนถึงที่หมายเลยล่ะกัน ถือซะว่าเป็นการตอบแทน..."ชายแก่พูด"....จะดีรึ?"ชายหนุ่มถามกลับด้วยความเกรงใจ"ดีสิ! นี่ยังน้อยไปซะด้วยซ้ำที่เจ้าอุส่าห์เสี่ยงชีวิตช่วยข้ากับคุณหนูเอาไว้..."ชายแก่ยืนยันหนักแน่น"....ก็ได้ แต่ข้าขอนั่งข้างๆลุงนะครับ"ชายหนุ่มตอบตกลงพร้อมกับยื่นข้อเสนอ"ท...ทำไมหละคะ? แต่เราอยากให้ท่านขึ้นมานั้งด้านในนะคะ?"หญิงสาวพูด"ขอบคุณมากครับคุณหนู แต่ข้ามันคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แบบนั้นมันไม่เหมาะหรอกครับ...."ชายหนุ่มบอกเหตุผล"ต...แต่ว่า?!"หญิงสาวพยายามพูดเชิงอ้อนวอน"ถ้าแบบนั้น ข้าจะไม่ไปกับพวกท่าน!"ชายหนุ่มยื่นคำขาด ทำให้ทั้งสองคนไม่กล้าขัดจึงต้องจำยอมให้ชายหนุ่มนั่งตรงพลขับกับชายแก่สองคน
    ".....ว่าไงหละพ่อหน่ม เจ้าชื่ออะไรหรือ? ....แล้วเจ้ามาทำอะไรที่เมืองนี้?"ชายแก่ถามชายหนุ่มในขณะที่ตนกำลังขับรถม้าไปตามทาง"ข้าชื่ออัคคี มาที่เมืองนี้ตามคำเชิญชวนของเพื่อนข้าคนนึงน่ะครับลุง"ชายหนุ่มตอบ"....แล้วเพื่อนของเจ้าชื่ออะไรรึ?"ชายแก่ถาม"โนว์วา เคโนว์ครับลุง"ชายหนุ่มตอบ"แล้วเขาชวนเจ้ามาที่นี่ด้วยเรื่องอะไรรึ? พอจะถามได้ไหม....?"ชายแก่ถามอีกครั้ง"....เห็นบอกว่ากำลังจะเปิดร้านอาหารใหม่น่ะครับลุง เลยส่งจดหมายเชิญไปที่เมืองจาบัญ ที่ข้าพักอยู่เพื่อให้ข้ามาที่นี่ในวันนี้"อัคคีตอบอย่างระเอียด"....ที่เจ้าช่วยพวกเราเอาไว้น่ะต้องขอบใจมากๆเลยนะ ว่าแต่ไปฝึกมาจากไหนกันรึ?"ชายแก่ถาม"....พอดีข้าเคยเป็นทหารรับจ้างมาก่อนน่ะครับ แต่ตอนนี้ข้าถอนตัวแล้ว..."ชายหนุ่มตอบพรางหัวเราะเบาๆ"เจ้าเคยอยู่กองทัพไหนรึ?"ชายแก่ถามอีกครั้ง"กองทัพสิงโตทองครับ"ชายหนุ่มตอบ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้พูดคุยกันเรื่องสับเพเหระกันต่อโดยมีหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านในคอยแอบฟังอยู่ ต่อมาครู่หนึ่ง รถม้าได้มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองและเเล่นไปตามถนนจนมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งนึ่ง"....เราคงต้องจากกันจริงๆตรงนี้แล้วหละนะ..."ชายแก่พูด"ขอคุณท่านทั้งสองคนมากๆนะครับ ที่มาส่งข้าถึงที่...."อัคคีกล่าวคำขอบคุณชายแก่กับหญิงสาว"พูดอะไรอย่างนั้นล่ะคะ เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ ที่ท่านช่วยชีวิตเราสองคนเอาไว้ หากท่านไม่ช่วยเรากับท่านก็คงไม่ได้พบกันหรกค่ะ...."หญิงสาวพูด"....ยังไงซะหากเจ้ายังอยู่ที่เมืองนี้ เราก็คงได้เจอกันอีกนะ...."ชายแก่พูดกับอัคคี"....ครับลุง"อัคคีรับปากก่อนที่ทั้งสองคนจะขึ้นบนรถม้าแล้วค่อยๆขับออกไปจนลับตา
.
.
.
เหล่าสหายผู้กล้า
"ขอโทษทีที่ข้ามาช้า....! ยังทันอยู่ไหม?"อัคคีพูดขึ้นหลังจากที่เปิดประตูเข้ามาในโรงเตี๊ยม"อืมห์....เส้นยาแดงฝ่าแปดเลย แต่ก็ยังทันอยู่นะข้าว่า..."ชายคนนึงที่นั่งอยู่บนโต๊ะพูดกับอัคคี"ช้าจริงๆเลยนะเจ้า! หลงทางหรือไงกัน?!"หญิงสาวที่นั่งอยู่บริเวณนั้นพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย"....เออ ใช่ ข้าหลงทาง...."อัคคีตอบ พอหญิงสาวได้ยินอัคคีตอบแบบนั้นก็ยิ่งโกรธจนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ต้องเข้ามาห้ามเอาไว้"....เออ นี่ ในจดหมายบอกว่าแค่ร้านอาหารไม่ใช่หรอ? ไหง กลายเป็นแบบนี้ล่ะ เคโนว์?"อัคคีถามชายหนุ่ม"....ตอนแรกน่ะ ข้าก็คิดแบบนั้น พอข้ามาคิดดูอีกที....เลยตัดสินใจสร้างโรงเตี๊ยมนี่ซะเลย ไหนๆเมืองนี้ก็ไม่ค่อยจะมีโรงเตี๊ยมราคาถูกๆให้พวกนักเดินทางอยู่ด้วย..."เคโนว์ตอบ"....แล้วเจ้าหล่ะ แจงจีร่า?"อัคคีถามหญิงสาว"....ข้าก็กลับไปสร้างสถานพยาบาลกับโรงเรียนที่หมู่บ้านแคป์มี่มาน่ะสิถามได้ ว่าแต่เจ้าเถอะ หลังจากแยกกันตอนนั้น เจ้าไปทำอะไร?"แจงจีร่าถามอัคคีกลับ".....ก็กลับไปบ้านเก่าของข้ามาน่ะสิ ก็บอกแล้วไม่ใช่หรอ?"
อัคคีตอบกลับแบบห่วนๆ"พี่อัคคี! พี่อัคคีมาแล้ว!?"เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งลงมาจากชั้นสองแล้วกระโดเข้าไปกอดอัคคี"ไม่ได้เจอกันตั้งสามปี โตขึ้นมากนะดีดี๊...."อัคคีพูดกับเด็กสาว"พี่อัคคี คราวนี้พี่อัคคีมีนิทานเรื่องใหม่มาฝากดีดี๊ไหมคะ?!"ดีดี๊ถามอัคคี"....เรื่องน่ะมี แต่เจ้าจะชอบหรือเปล่านี่แหละ...."อัคคีพูด"ไม่ว่าเรื่องไหน ดีดี๊ก็ชอบทั้งนั้นแหละค่ะ!"ดีดี๊พูด"....เอาหละๆ ไหนๆทุกคนก็มากันครบแล้ว ข้า ในฐานะเจ้าภาพและผู้เทียบเชิญ ข้าขอเริ่มงานเลี้ยงฉลองร้านใหม่ของข้า ณ.บัดนี้! เอ้าทุกคน ฉลอง!!"เคโนว์บอกกับทุกคน"ฉลอง!!"ทุกคุณที่อยู่ ณ.ที่แห่งนั้นพูดพร้อมกันพร้อมกับยกแก้วชูขึ้นพร้อมกัน
.
.
.
นักรบรับจ้าง
    หลังจากที่ทุกคนเลี้ยงฉลองกันจนเลิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันแยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของตนเองตามที่เคโนว์ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้กันหมดแล้วนั้นเหลือเพียงเคโนว์กับอัคคีสองคนเท่านั้น".....เออนี่ อัคคี จำได้ว่าตอนนั้นเจ้าบอกว่าจะกลับบ้านเกิดนี่นะ เป็นยังไรบ้าง?"เคโนว์ถามอัคคี"ก็.....นะ..."อัคคีตอบ"หมายความว่ายังไง?"เคโนว์ถามอัคคีกลับ"....จักรา ไม่ใช่ที่ของข้าอีกต่อไปแล้ว...."อัคคีตอบเคโนว์ด้วยสีหน้าเศร้าๆ"ม...หมายความว่าไง!? พวกนั้นไม่ยอมรับเจ้า แล้วขับไล่เจ้าออกมาอย่างนั้นรึ!!?"เคโนว์พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด"....เอาน่า ไม่เห็นต้องมาตกใจขนาดนั้นเลยนี่..."อัคคีพูดกับเคโนว์"จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงวะ! ก็ในเมื่อ...."เคโนว์พูด"เออ....ตามกฏแล้วข้าควรถูกลงโทษหนักถึงชีวิตแล้วด้วยซ้ำ โทษฐานที่ไม่สามารถปกป้องแม่ทัพดอกเหมยเอาไว้ให้ได้ แต่ความดีความชอบที่ช่วยจบสงครามกับราชาคอล์ก้าก็มีส่วนอยู่บ้าง ข้าถึงได้มายืนอยู่ตรงนี้ได้นี่ไงล่ะ....."อัคคีอธิบายเหตุผลให้เคโนว์ฟัง".....อย่างนั้นเองหรือ"เคโนว์พูดอย่างสลด"....ถึงจะไม่มีที่ไป แต่อย่างน้อย ข้าว่ามันก็ดีกว่าตายแบบไร้ประโยชน์...."อัคคีพูดอย่างปลงตก"....ใช่ จริงข้องเจ้า...."เคโนว์เองก็ปลงเช่นเดียวกับอัคคีและทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะนึง"....เออนี่อัคคี ตรงนั้นไม่ต้องกวาดแล้ว ที่เหลือข้าทำเอง เอ้านี่กุญแจห้องพักของเจ้า ข้ายกให้..."เคโนว์พูดกับอัคคีพร้อมกับส่งกุญแจห้องให้"ขอบใจ ว่าแต่จะดีหรือ?"อัคคีพูด"เอาเถอะน่า ข้าเป็นเจ้าของบ้าน ให้แขกมาช่วยทำทั้งหมดแบบนี้มันยังไงอยู่นา"เคโนว์พูด"ถ้างั้น ข้าไม่เกรงใจหละนะ"อัคคีพูดจบแล้วหันหลังเดินขึ้นชั้นสองไปปล่อยให้เคโนว์ทำความสะอาดอยู่เพียงคนเดียว ในขณะที่เคโนว์กำลังทำความสะอาดอยู่นั้นเองได้มีบุคคลปริศนาใส่ชุดคลุมหน้าเดินเข้ามาในร้าน"เออ ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ร้านเรายังไม่เปิดให้บริการครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ..."เคโนว์บอกกับบุคคลปริศนา"....ร้านของท่านดูดีมากเลยนะคะ"บุคคลปริศนาพูดกับเคโนว์แล้วค่อยๆเปิดผ้าคลุมหน้าออก"ท่านเซย์ซิเรีย!?"เคโนว์อุทานขึ้น"ใช่แล้วค่ะ เราเอง"หญิงสาวพูด"ท....ท่านเซย์ซิเรีย มีธุระอะไรหรือครับ ถึงได้มาหาข้าได้..."เคโนว์พูดกับเซย์ซิเรียด้วยอาการตืนเต้น"....ไม่เห็นจะต้องวิตกขนาดนั้นเรานี่คะ? เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือคะ?"เซย์ซิเรียพูดกับเคโนว์"....ขอโทษด้วยจริงๆครับ ไม่ทราบว่า ท่านมีธุระอะไรหรือครับ ถึงได้มาหาข้าตอนนี้"เคโนว์ถามเซย์ซิเรีย"เราเพียงแค่ต้องการอยากจะทราบเรื่องราวของใครคนนึงที่เป็นสหายของท่าน ที่ชื่อว่าอัคคีน่ะค่ะ..."เซย์ซิเรียพูดกับเคโนว์"ท่านรู้จักอัคคีด้วยหรือครับ?"เคโนว์ถามเซย์ซิเรีย"ใช่ค่ะ เราพบเขาระหว่างทาง"เซย์ซิเรียพูดและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เคโนว์ฟัง"...เป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วท่านต้องการจะทราบเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเขาหรือครับ?"เคโนว์ถามเซย์ซิเรียอีกครั้ง"...ทุกอย่างที่ท่านรู้เกี่ยวกับเขาน่ะค่ะ!"เซย์ซิเรียตอบ"....อัคคี เขาเป็นชาวไซย์เที่ยมจากดินแดนตะวันออกไกล ครอบครัวของเขาเป็นช่างทำอาวุธประจำกลุ่มจักรา แต่ครอบครัวของเขาถูกออร์คกวาดล้าง แต่เขารอดชีวิตมาได้ด้วยการเสียสละชีวิตของพ่อแม่ของเขา และเขาถูกช่วยเหลือด้วยกองกำลังทหารรับจ้างกองทัพหมาป่า ที่บังเอิญอยู่บริเวณใกล้ๆตรงนั้นพอดี นับแต่นั้นมา เขาก็ฝึกฝนตนเองอย่างหนักเพื่อว่า วันหนึ่งเขาอาจจะได้แก้แค้นกับออร์คกลุ่มนั้นให้จงได้ หลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้ากองทัพทหารรับจ้างหมาป่าในที่สุด และได้รวมเข้ากับองค์กรทหารรับจ้าง กองทัพสิงโตทองในภายหลังและสร้างความดีความชอบมากมายให้กับองค์กรและผู้จ้างวานไว้มากมายจนกระทั่งเขาได้พบกับออร์คกลุ่มนั้นอีกครั้งหนึ่ง และที่นั่งเขาก็ได้พบกับชาวไซย์เที่ยมเช่นเดียวกันกับเขาอีกครั้งหนึ่ง และได้ร่วมมือกันเอาชนะกองทัพออร์คที่นำโดยราชาคอล์ก้าได้สำเร็จ จนสี่แม่ทัพใหญ่ของสี่แคว้นสัมพันธ์มิตรตั้งสมยานมให้เขาว่า หมาป่าอัคคี แต่ทว่าตัวเขาเองกลับไม่สามารถปกป้องแม่ทัพดอกเหมย ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและคู่หมั่นของตัวเองเอาไว้ได้ และไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ถอนตัวออกมาจากกองทัพและเดินทางไปยังป้อมปราการร้างชเวลา และพวกเราก็ได้พบเขาที่นั่น ตอนแรกเขาบอกแค่ชื่อของตัวเอง และก็บอกว่ามาตามหาคนเท่านั้นเอง หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าไปในป้อมปราการนั้น ข้าเองก็....อดทึ่งไม่ได้เมื่อได้เห็นฝีมือของเขา มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เราต้องการกุญแจแต่มันถูกรักษาเอาไว้โดยยักษ์ตาเดียว ซึ่งเขาเองเป็นคนที่ฝ่าเข้าไปหยิบเอากุญแจมาได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัสมาก แต่ก็ได้แจงจีร่ากับดีดี๊ช่วยกันรักษาเขาถึงรอดมาได้ พอเขาฟื้นสติเขาก็ยอมเล่าเรื่องของเขาให้พวกเราฟัง อ๋อ....ก็เรื่องที่ข้าเล่าไว้ในตอนต้นเมื่อครู่นี้น่ะครับ หลังจากที่พวกเรายึดป้อมปราการได้สำเร็จ ตัวเขาก็แยกทางออกไปบอกว่าจะกลับไปบ้านเกิดตามคำขอสุดท้ายของคู่หมั่นของเขา หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้ยินเรื่องของเขาอีกเลยจนกระทั่งเมื่อครู่นี้ เขาพูดว่าทุกคนที่นั่นไม่ยอมรับเขาอีกแล้ว ตอนนี้ก็เท่ากับว่า เขาได้กลายมาเป็นคนเร่ร่อนไร้แผ่นดินอยู่ไปแล้ว อาจจะฟังดูเหมือนกับละครบางเรื่อง แต่ก็นี่แหละครับ ชีวิต ข้าไม่รู้ว่าท่านจะทันสังเกตไหม ว่าที่ข้อมือซ้ายของเขาจะมีกำไรที่ถักจากเส้นผมของอดีตคู่หมั่นที่เสียไปของเขาน่ะครับ เขามักจะพกเอาไว้ติดตัวเสมอ เสมือนเป็นเครื่องรางและเครื่องเตือนความจำ ว่าครั้งหนึ่งว่าครั้งหนึ่ง ตัวเองเป็นใคร และมาจากไหน..... เท่าที่ข้ารู้ก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ..."เคโนว์พูด".....เท่านี้ก็ช่วยได้มากกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ซะอีกนะคะ"เซย์ซิเรียพูดกับเคโนว์ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปและหยุดอยู่ที่หน้าประตู"....คืนนี้เราสนุกมาก ขอบคุณมากนะคะที่เลี้ยงดู แล้วก็... ยินดีด้วยกับร้านใหม่นะคะ!"เซย์ซิเรียพูดก่อนที่จะขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ด้านหน้า เมื่อเซย์ซิเรียกลับไปแล้วเคโนว์ก็กลับมาทำความสะอาดร้านของเขาต่อจนเสร็จเรียบร้อยและเดินกลับสู่ห้องพักของตน"....วันพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องสนุกๆแน่ๆเลย"เคโนว์พูดขึ้นก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง
.
.
.
ผู้คุ้มกันรับจ้าง กับ ดาบบนแท่น
เช้าวันต่อมา ขณะที่อัคคีกำลังช่วยงานเคโนว์อยู่ด้านหลังของโรงเตี๊ยมอยู่นั้นเอง"เฮ้ยอัคคี! มีคนมาหา!"เสียงของเคโนว์เรียกอัคคีดังขึ้น และเมื่อเขาหันไปมองก็พบกับเคโนว์ที่กำลังเดินมาหาและยังมีคนอีกหนึ่งคนเดินตามหลังเคโนว์มาด้วยซึ่งเขาจำได้"อ้าว คุณหนูนั่นเอง!"อัคคีพูด"....เรื่องเมื่อวานนี้ เราต้องขอบคุณท่านด้วยจริงๆนะคะ หากไม่ได้ท่านช่วยเอาไว้พวกเราคงแย่...."เซย์ซิเรียพูด"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหนู ข้าแค่ทำตามสามัญสำนึก....ว่าแต่คุณหนูมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ที่มาหาข้าที่นี่?..."อัคคีถามเซย์ซิเรีย"คือ....เราอยากจะให้ท่านช่วยมาเป็นผู้คุ่มกันให้กับเราหน่อยจะได้หรือไม่คะ?"เซย์ซิเรียตอบ อัคคีได้ยินดังนั้นจึงหันไปมองหน้าเคโนว์ ทางเคโนว์เองก็บอกอัคคีเป็นนัยๆ"....ก็ได้ครับคุณหนู จะเริ่มงานเมื่อไรครับ?"อัคคีตอบตกลงพร้อมกับถามเซย์ซิเรียกลับ"....เมื่อท่านพร้อมค่ะ!"เซย์เซิเรียตอบแถบจะในทันที เมื่อได้ยินดังนั้นอัคคีจึงวางงานที่กำลังทำลงและเดินหายเข้าไปในโรงเตี๊ยม"ท่านว่า....เขาจะรู้ไหมคะว่าจริงๆแล้ว เราเป็นใคร...."เซย์ซิเรียถามเคโนว์"อื่มมมห์......เรื่องนั้น ข้าตอบท่านไม่ได้หรอกครับ เขาจะรู้หรือไม่ คงขึ้นอยู่กับเวลาหล่ะมั้งครับ"เคโนว์ตอบเซย์ซิเรียพรางถอนหายใจ ครู่ต่อมาอัคคีได้เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม"....อัคคี สักยะ ขอรับใช้ท่าน!"อัคคีพูดพร้อมทำความเคารพต่อเซซิเรีย"เอ๋....?เอ่อ....?เซย์ซิเรีย โซวาเทีย ยินดีค่ะ?!"เซย์ซิเรียตอบรับอย่างไม่ทันตั้งตัว หลังจากนั้นทั้งสามคนได้เดินออกจากโรงเตี๊ยมตรงไปยังลานกว้างของเมืองที่มีคนชุมนุมกันอยู่อย่างมากมาย"อะไรกันเนี้ยคนพวกนี้! นี่เขามามุงอะไรกันรึ?"อัคคีถามเคโนว์"ก็พิธีกรรมดึงดาบศักดิสิธิ์ไง เจ้าเห็นแท่นหินบนนั้นไหม นั่นแหละที่วางดาบศักดิสิธิ์หละ!!"เคโนว์ตอบพร้อมกับอธิบายให้อัคคีฟัง"....ที่ทำอย่างนี้เพราะราชาโพเซย์ต้องการที่จะหาคู่ครองให้กับองค์หญิงน่ะสิคะ...แต่เราไม่เห็นมันจะดีตรงไหนเลยนี่สิคะ..."เซย์ซิเรียพูด"ทำไมหรือครับคุณหนู?"อัคคีถามเซย์ซิเรีย"ก....ก็ถ้าหากว่าคนที่ได้รับเลือกแล้วแต่กลับไม่มีความรักให้แก่กันนี่สิคะ เราเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เราเข้าใจความรู้สึกนั้นดีค่ะ....!"เซย์ซิเรียพูดเชิงตัดบท"ไม่ผ่าน!! คนต่อไป!!!"เสียงคนประกาศบนแท่นวางดาบศักดิสิธิ์ดังขึ้น"ไหนๆเจ้าก็มาถึงตรงนี้แล้ว ลองขึ้นไปสักหน่อยสิ จะได้ไม่เสียเที่ยว!"เคโนว์พูดพร้อมกับพลักอัคคีออกไปด้านหน้าตรงบันไดขึ้นแท่นพอดี".....ก็ได้วะ..."อัคคีพูดอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไรนัก หลังจากนั้นเขาได้เดินตรงไปที่ดาบศักดิสิธิ์ก่อนที่จะจับด้ามดาบแล้วออกแรงดึงอย่างสุดกำลังแต่"ไม่ผ่าน!! คนต่อไป!!!!"เสียคนประกาศดังขึ้น หลังจากนั้นอัคคีได้เดินลงมาและเห็นเคโนว์กำลังหัวเราะอยู่เบาๆ"...นี่คิดอะไรอยู่วะ?"อัคคีถามเคโนว์"เปล่า...ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง...."เคโนว์พูดและกลับมาขำอัคคีต่อ หลังจากนั้นทั้งหมดได้เดินออกมาห่างจากลานกว้างและนั่งดูการแสดงของคณะละครกันต่อจนถึงเวลาค่ำ"คุณหนู ค่ำแล้วครับ"เคโนว์พูดกับเซย์ซิเรีย"....นั่นสิคะ เช่นนั้นพวกเรากลับกันเถอะค่ะ...."เซย์ซิเรียพูด และทั้งหมดก็เดินทางกลับมายังโรงเตี๊ยมของเคโนว์ ซึ่งตอนนี้มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่"อ้าว ว่าไงล่ะพ่อหนุ่ม สะบายดีนะ?"เสียงชายแก่พูดทักทายอัคคี"ครับลุง สะบายดีครับ"อัคคีตอบชายแก่กลับ"...วันนี้เราสนุกมากค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ...."เซย์ซิเรียพูดก่อนที่จะขึ้นรถม้า และชายแก่ก็ค่อยๆขับรถม้าจากไปจนลับตา 
หลังจากที่เซย์ซิเรียจากไปแล้ว เคโนว์กับอัคคีก็ได้กลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม"....นึกว่าเจ้าจะทำได้ซะอีกนะ..."จู่ๆเคโนว์ก็พูดขึ้น"หือม์...? อะไร? หมายถึงดาบนั่นน่ะหรือ?"อัคคีถาม"ก็ใช่น่ะสิ! คิดว่าคนเก่งๆอย่างเจ้าจะดึงมันออกมาได้ซะอีก!?"เคโนว์พูด"....พูดบ้าๆ ของแบบนั้นใช่ว่าจะใช้กันได้ง่ายๆ ต่อให้เป็นยอดฝีมือมาจากไหน มีพละกำลังมากแค่ไหน ถ้าไม่ตรงตามเงื่อนไข ของแบบนั้นก็ไร้ประโยชน์"อัคคีพูดขึ้น"หมายความว่าไง?"เคโนว์ถามอัคคีกลับอย่างสงสัย"ดาบเล่มน่ะ เป็นดาบศักดิสิธิ์น่ะใช่ แต่มันต่างตรงที่มันสามารถที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมันตามความต้องการของผู้ที่ถือมันอยู่ได้ยังไงหละ พวกเราเรียกมันว่า อาวุธแปลงร่าง!"อัคคีตอบพร้อมกับอธิบาย"ห๋า?! อาวุธแปลงร่างอย่างนั้นหรือ?!"เคโนว์อุทานด้วยความสงสัย"....ใช่ แต่การที่จะใช้มันได้นั้นจำเป็นต้องมีเงื่อนไข ถึงจะใช้ได้"อัคคีพูดต่อ"เงื่อนไข??"เคโนว์สงสัย"เงื่อนไขที่ผู้สร้างอาวุธนั้นๆตั้งเอาไว้เพื่อใช้งานแบบเฉพาะเจาะจง..."อัคคีพูด"....เงื่อนไขเฉพาะเจาะจง...? ยกตัวอย่างเช่น.....?"เคโนว์พูดขึ้นในขณะที่คิดตามคำพูดของอัคคี"....ยกตัวอย่างเช่น ดาบของจักรพรรดิแห่งฮาราน ต้องเป็นผู้ที่สืบทอดสายเลือดโดยตรงของเชื้อยสายของราชาฮารานรุ่นแรกโดยตรงเท่านั้นถึงจะใช้ได้ หรือ ดาบใบโตของราชาบาบาร์เรี่ยน ต้องเป็นผู้ที่มีความกล้าและมุ่งหมั่นมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปถึงจะใช้ได้....จริงๆแล้วยังมีอีกนะ แต่รวมๆและเงื่อนไขการใช้ก็ประมาณนี้..."อัคคีอธิบาย"อื่มมห์ เหมือนจะพอเข้าใจอยู่บ้างล่ะนะ...... ว่าแต่ไปรู้เรื่องแบบนี้มาจากไหน?"เคโนว์ถาม"อ้าว....ก็พ่อของข้าเป็นช่างทำอาวุธประจำกลุ่มจักรานะ ข้าเคยบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่าง......"อัคคีพูดและหยุดไปเหมือนกำลังนึกอะไรอยู่"อีกอย่าง? อะไรหรือ?"เคโนว์ถามอัคคีอย่างสงสัย"....พอดีลืมไปแล้วว่ะ ว่าจะพูดอะไรต่อ...."อัคคีพูด"อ้าว...เอ่อ ช่างเหอะ เจ้ามันก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วนี่เนอะ งั้นเราสองคนแยกกันไปอาบน้ำนอนกันดีกว่า ไม่งั้นพรุ่งนี้พวกเราตื่นสายกันแน่ๆ...."เคโนว์พูด"....นั่นสิ ไม่งั้นสองคนนั้นอดกินข้าวเช้ากันแน่ๆเลย งั้นก็ตามนั้นเลยหล่ะกัน...."อัคคีพูดก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายไปยังห้องพักของตน".....ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ว่านะ...."อัคคีบ่นงึมงัมขณะที่เดินกลับไปยังห้องพัก
.
.
.

อมนุษย์
วันต่อมา เซย์ซิเรียมาที่โรงเตี๊ยและได้ชวนอัคคีไปที่ทะเลสาบแห่งหนึ่งใกล้ๆกับเมือง โดยในวันนี้ เคโนว์ไม่ได้มาด้วยเพราะยุ่งอยู่กับงานภายในร้าน"อื่มมมห์....วันนี้อากาศดีจังเลยนะคะ..."เซย์ซิเรียพูด"ครับคุณหนู"อัคคีเสริม"...ว่าแต่...ท่านอัคคีจะอยู่ที่เมืองนี้นานเท่าไรหรือคะ?"เซย์ซิเรียถาม"...ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่าจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน แต่ยังไงๆข้าก็ไปจากเมืองนี้สักวันนึง เพื่อหาที่สำหรับที่ข้าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ของข้าต่อไปน่ะครับคุณหนู"อัคคีตอบกลับ"แล้ว....ท่านคิดว่าเมืองนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ?"เซย์ซิเรียถามต่อ"เป็นเมืองที่ดีนะครับ ดูทุกคนในเมืองมีความสุขกันทุกคนเลยนะครับ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นแบบนี้..."อัคคีตอบ"ถ้าอย่างนั้น ท่านก็อยู่ที่เมืองนี้เลยสิคะ อีกอย่างหนึ่ง หากท่านไปแล้ว....เราคงเหงาน่าดู..."เซย์ซิเรียพูดเชิงอ้อนวอน ทางด้านอัคคีเองก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด"....เออคือ เราขอดูดาบของท่านหน่อยจะได้มั้ยคะ? เพราะจากเท่าที่เราเห็นแล้ว รูปทรงดาบแบบนี้เรายังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย..."เซย์ซิเรียพูด อัคคีได้ฟังแล้วจึงหยิบดาบที่พกติดตัวมาด้วยส่งให้กับเซย์ซิเรีย"ถือระวังๆหน่อยนะครับคุณหนู เดี่ยวจะถูกบาทเอา..."อัคคีพูดก่อนที่เซย์ซิเรียจะรับดาบในมือ เมื่อเซย์ซิเรียรับดาบไปแล้วทำการดึงดาบออกจากฝักและพิจารณาดาบเล่มนั้นอย่างละเอียด".....เป็นดาบที่สวยงามมากเลยค่ะ...!"เซย์ซิเรียพูดหลังจากที่พิจารณาดาบเล่มนั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว"....ครับ นั่นเป็นดาบเล่มสุดท้ายที่พ่อของข้าตีขึ้น ชื่อว่า ดาบเก็บตะวัน เป็นดาบที่ดีที่สุดเท่าที่พ่อข้าเคยตีขึ้น เขาตีมันขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญ เป็นหนึ่งในสองสิ่งที่สำคัญที่สุดของข้าที่มีอยู่ในตอนนี้.."อัคคีพูด"หนึ่งในสองหรือค่ะ? แล้วอีกหนึ่งสิ่งล่ะคะ เราจะขอดูได้มั้ย...?"เซย์ซิเรียพูดเชิงร้องขอ อัคคีจึงนำห่อผ้าห่อนึงที่นำมาด้วยส่งให้กับเซย์ซิเรีย และเมื่อเซย์ซิเรียได้รับห่อผ้านั้นมาแล้วก็ได้กางผ้าผืนนั้นออกมา"เอ๋? นี่มันคือผ้าคลุมนี่คะ?"เซย์ซิเริยพูด"....ครับคุณหนู นี่คือผ้าคลุมไหมทอง เป็นของที่หายากมากๆ เพราะตัวของไหมทองนั้นต้องใช้เวลานานมากๆกว่าจะเริ่มทอไหม แต่ไหมชนิดนี้เหนียวและแข็งแรงมากๆ และยิ่งถูกท่อขึ้นด้วยเวทมนตร์แล้วด้วย นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับชุดเกราะที่ดีที่สุดเท่าไรนักหรอกครับ..."อัคคีพูด"เอ๋? ถ้าแบบนั้นก็แปลว่า ผู้ที่สามารถท่อผ้าคลุมนี้ได้ จะต้องรู้วิธีการท่อผ้ากับเรื่องเวทมนตอย่างมากเลยทีเดียวเลยนะคะ ถึงจะทำได้ขนาดนี้..."เซย์ซิเรียพูดอย่างชื่นชม"...ครับ ก็แม่ของข้าเป็นเลือดผสมระหว่างมนุษย์กับเอลฟ์นี่ครับ เลยรู้เรื่องแบบนี้ค่อนข้างเยอะ..."อัคคีพูด"เอ๋?! แม่ของท่านเป็นเลือดผสมระหว่างเอลฟ์อย่างนั้นหรือคะ??!"เซย์ซิเรียอุทาน"ครับคุณหนู ส่วนข้าก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากพวกเขา.."อัคคีตอบ"....แล้วท่านใช้เวทมนตร์ได้หรือเปล่าคะ...?"เซย์ซิเรียถามต่อ"....ของแบบนั้นข้าใช้ไม่เป็นหรอกครับคุณหนู!! จะมีก็แค่พูดภาษาเอลฟ์ได้นิดหน่อยเท่านั้นเองครับ....แต่ตอนนี้ข้าลืมไปหมดแล้ว...."อัคคีตอบ หลังจากนั้นเซย์ซิเรียได้ส่งดาบและผ้าคลุมคืนให้กับอัคคี"....เอ่อ....คือว่า ได้ยินว่าท่านเคยมีคู่หมั้น....เราอยากรู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนกันหรือคะ?"จู่ๆเซย์ซิเรียก็ยิงคำถามนี้ขึ้นมา"....นางเป็นคนที่เข้มแข็งมาก อ่อนโยนมากๆ...และนางเองก็เป็นนักรบเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อของนาง นั่นคือสิ่งที่ข้าจำได้เกี่ยวกับนาง..."อัคคีตอบอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อเซย์ซิเรียได้ฟังดังนั้นจึงไม่กล้าถามต่อไป เพราะเกรงใจและกลัวว่าอัคคีจะทำใจกับเรื่องนี้ยังไม่ได้จึงเปลี่ยนเรื่องคุยกันไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ๆ เซย์ซิเรียจึงชวนอัคคีกลับ แต่ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกมาจากบริเวณของทะเลสาบนั้น ฉับพลันก็ได้มีอะไรบ้างอย่างพุ่งขึ้นมาจากทะเลสาบแล้วตรงเข้ามาหาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว"คุณหนู ระวังครับ!!"อัคคีร้องตะโกนพร้อมพลักเซย์ซเรียออกไปอีกทาง และเมื่อสิ่งนั้นหยุดลง ทั้งสองคนก็ได้พบกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีศรษะเป็นมนุษย์แต่ตัวคล้ายงู"นี่มัน อมนุษย์นี่!!"อัคคีอุทานขึ้น อมนุษย์ตนนั้นได้ชูคอตั้งขึ้นและโยกไปมา"คุณหนู รีบหนีเร็ว!!"อัคคีตะโกนบอกเซย์ซิเรีย เซย์ซิเรียเองได้ยินอัคคีบอกแบบนั้นก็ได้สติแต่ไม่สามารถที่จะวิ่งหนีได้เนื่องจากความกลัว เมื่ออัคคีเห็นเซย์ซิเรียเป็นแบบนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปจับมือของเซย์ซิเรีย และรีบจูงมือของเซย์ซิเรียออกวิ่งทันที แต่ดูเหมือนว่าอมนุษย์ตนนั้นจะไล่ตามทั้งสองคนอย่างไม่ลดละ อัคคีจึงตัดสินใจพาเซย์ซิเรียเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายในโผลงของใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่อมนุษย์ตนนั้นก็กำลังค้นหาทั้งสองคน และกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ".....ไม่เป็นไรครับคุณหนู เราต้องปลอดภัย..."อัคคีปลอบเซย์ซิเรีย"....น....นั่นคือตัวอะไรกันหรือคะ?!"เซย์ซิเรียถามอัคคีด้วยอาการตื่นตระหนก"นั่นคืออมนุษย์..."อัคคีตอบ ในขณะที่ทั้งสองกำลังซ่อนตัวอยู่นั้น อมนุษย์ตนนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดค้นหาคนทั้งสอง และตรงใกล้เข้ามาทุกขณะจนใกล้จะถึงโผลงต้นไม้ที่ทั้งสองซ่อนตัวอยู่ทุกที"...ท่าทางคงจะไม่ยอมไปง่ายๆซะแล้วสิ...!"อัคคีพูดในขณะที่กำลังแอบดูอยู่ภายในโผลงต้นไม้"....ล....แล้วพวกเราจะทำอย่างไรดีคะ??!"เซย์ซิเรียถามอัคคีด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"...ข้าคิดอะไรออกแล้วครับคุณหนู!"อัคคีพูดขึ้น"...เอ๋?! อะไรหรือคะ?!?"เซย์ซิเรียร้องขึ้นอย่างมีความหวัง"....ข้าจะออกไปล่อมันไปเอง พอท่านเห็นข้าล่อมันไปไกลแล้ว ขอให้คุณหนูรีบวิ่งไปให้เร็วที่สุดและอย่าได้หันหลังกลับมาเป็นอันขาด เข้าใจไหมครับ!"อัคคีพูดเชิงออกคำสั่งกับเซย์ซิเรีย"ล...แล้วท่านล่ะค่ะ??!"เซย์ซิเรียพูดกับอัคคี"...ข้าขอร้องล่ะครับคุณหนู ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับข้าอีกเป็นครั้งที่สองหรอกครับ..."อัคคีขอร้องเซย์ซิเรีย เซย์ซิเรียได้ยินอัคคีออกปากขอร้องแบบนั้นแล้วก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรต่อไปได้"...มันมาแล้ว!"เสียงอัคคีพูดขึ้นพร้อมกับเตรียมตั้งท่าจะออกไปจากที่ซ่อนแต่ถูกเซย์ซิเรียดึงมือของเขาเอาไว้ก่อนที่เขาจะออกไป"...ท่านต้องสัญญากับเรานะ...ว่าท่านจะกลับมา..."เซย์ซิเรียพูดกับอัคคีด้วยใบหน้าที่เป็นห่วงและเต็มไปด้วยน้ำตา ทางอัคคีเองก็ไม่ได้ตอบเซย์ซิเรียกลับแต่อย่างใด ได้แต่มองดูมือที่ถูกเซย์ซิเรียกุมเอาไว้แน่นก่อนที่จะผละออกไปจากที่ซ่อน"เฮ้ยยยย! ข้าอยู่ตรงนี้โว้ย!! เจ้างูโง่!!"เสียงอัคคีตะโกนเรียกอมนุษย์ เมื่ออมนุษย์ตนนั้นเห็นอัคคีจึงทำท่าแยกเขี้ยวใส่อัคคี"ถ้าอยากจะกินข้าหละก็ ตามข้าให้ทันสิ!!!"เสียงอัคคีตะโกนขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะวิ่งออกไปอีกทาง เมื่ออมนุษย์เห็นดังนั้นก็ทำการไล่ตามอัคคีไปในทันที เมื่ออัคคีกับอมนุษย์ได้ออกไปไกลจากตรงนั้นแล้ว เซย์ซิเรียจึงค่อยๆออกมาจากที่ซ่อนด้วยอาการไม่สู่ดีเท่าไรนัก หลังจากที่ออกมาจากที่ซ่อนตัวแล้วเซ์ซิเรียจึงค่อยๆออกวิ่งไปอีกทางถึงแม้ว่าตัวเธอเองจะเป็นห่วงอัคคีมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็เลือกที่จะทำตามที่อัคคีขอร้องเอาไว้ ทางด้านอัคคีเองหลังจากที่ล่ออมนุษย์ออกมาหาเขาแล้วนั้น เขาก็ได้วิ่งมาตั้งหลักอยู่ที่บริเวณริมฝั่งแห่งหนึ่งของทะเลสาบ"...แค่นี้คงพอแล้วมั้ง...ว่าแต่จะไหวไหมนะ ตัวคนเดียวเนี่ย...?"อัคคีบ่นงึมงำอยู่คนเดียว ครู่ต่อมาอมนุษย์ตนนั้นได้ตามเขามาทันและหยุดจ้องหน้าของอัคคีอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะคำรามและทำการจู่โจมใส่อัคคีในทันที"....อย่างมากก็แค่ตายล่ะวะ...!"อัคคีพูดก่อนที่จะชักดาบออกจากฝัก
.
.
.
มังกรศาสตรา กับ ผู้ต้องสาป
ในขณะที่เซย์ซิเรียกำลังวิ่งมาใกล้ถึงประตูเมืองอยู่นั่นเอง ฉับพลันนั้นสายตาของเธอก็ได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งออกจากเมืองและตรงเข้ามาหาเธอ"ท่านเคโนว์!!"เสียงเซย์ซิเรียตะโกนขึ้น"ท่านเซย์ซิเรีย!!?"เสียงเคโนว์ดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ ทุกคนทั้งหมดในกลุ่มจึงรีบพากันวิ่งเข้าไปหาเซย์ซิเรีย"เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?! ทำไมท่านถึงได้กระหืดกระหอบมาแบบนี้?! แล้วเจ้าอัคคีหายไปไหนครับ?!?"เคโนว์ถามเซย์ซิเรียเมื่อไม่เห็นอัคคีผู้เป็นเพื่อนกลับมาด้วย หลังจากนั้นเซย์ซิเรียจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับทุกคนฟัง"....งั้นก็แสดงว่า อัคคีกำลังสู้กับปีศาจอยู่คนเดียวอย่างนั้นสิ!?"แจงจีร่าพูด"....ท่านไม่ต้องวิตกกังวลไปเลยครับ พวกข้าทั้งหมดจะไปช่วยอัคคีเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง...!!!"เคโนว์พูดและรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที"ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ! เดี๋ยวเราจะนำองครักษ์ตามไปช่วยอีกแรงนะคะ!!"เสียงเซย์ซิเรียตะโกนตามหลังพวกเคโนว์ "ข้าว่า...ถ้าพวกเราเอาแต่วิ่งกันไปแบบนี้ เห็นทีจะไม่ทันแน่ๆ ข้าว่าเราคงต้องใช้พวกนั้นแล้ว!!"แจงจีร่าพูดขึ้นในขณะที่กำลังวิ่งไปตามทาง"ใจตรงกันแฮะ!"เคโนว์พูด"....แล้วเราจะใช้ใครดีล่ะคะ??"ดีดี๊ถาม"ของข้าล่ะกัน มาเลยขวานฟ้า!!"เสียงเคโนว์ดังขึ้น จากนั้นก็ได้มีมังกรขนาดใหญ่บินอยู่เหนือหัวของทุกคน จากนั้นมังกรตนนั้นได้ร่อนลงพื้นและทุกคนก็ได้ขึ้นไปขี่บนหลังแล้วมังกรตนนั้นก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เมื่อมาถึงบริเวณที่อัคคีกำลังต่อสู้กับอมนุษย์อยู่อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ทุกคนพากันกระโดดลงจากหลังของมังกร และมังกรตนนั้นได้กลายร่างเป็นขวานและเคโนว์ได้ใช้ขวานนั้นโจมตีไปที่อมนุษย์ตนนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้อมนุษย์ตนนั้นถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป"...เฮ้อ....มากันจนได้...."อัคคีพูดอย่างโล่งอก"พี่อัคคีกินยานี่ก่อนนะคะ จะได้มีแรง!"ดีดี๊พูดพร้อมกับส่งยาให้กับอัคคี"...ขอบใจนะดีดี๊"อัคคีพูดและกินยานั้นทันที ในขณะเดียวกัน อมนุษย์ตนนั้นก็กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับความโกรธอย่างเต็มที่"...นี่ยังจะลุกขึ้นมาได้อีกหรือนี่?"แจงจีร่าพูด"...จะเอาไงต่อ?"เคโนว์ถาม"เอาเหมือนอย่างเคย เหมือนเมื่อตอนนั้นไง..."อัคคีพูด"จัดไป อย่าได้เสีย!"เสียงเคโนว์ตอบรับ"ประจัญบาน!!!"เสียงของทุกคนดังขึ้นมาพร้อมกันและเข้าโจมตีอมนุษย์อย่างสามัคคีจนสามารถล้มอมนุษย์ลงได้สำเร็จในที่สุด"ฟู่...สำเร็จสักที..."เสียงเคโนว์พลางถอนหายใจรวมถึงทุกคนยกเว้นอัคคี"...อย่างเพิ่งดีใจไป...."อัคคีพูด"ทำไมล่ะ? ก็ในเมื่อเราฆ่ามันได้แล้วนี่?"แจงจีร่าแย้ง"...ดูให้ดีๆก็แล้วกัน"อัคคีพูด หลังจากที่อัคคีพูดจบทุกคนก็หันกลับไปดูที่ร่างของอมนุษย์ตนนั้นนอนแน่นิ่งอยู่ ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างของอมนุษย์ก็ค่อยๆสลายไปและแปลเปลี่ยนเป็นร่างกายของมนุษย์"น...นี่มันอะไรกันนี่?! ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้??!"แจงจีร่าอุทานขึ้นเมื่อเห็นกับภาพที่อยู่ตรงหน้า และทุกคนเองต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เห็นไม่แพ้กัน"....นี่คือผู้ที่ถูกคำสาป เป็นคำสาปที่เกิดขึ้นจากมนตร์ดำที่มาจากใครคนนึง..."อัคคีพูดขึ้น"ล...แล้วถ้านี่คือคำสาป แล้วทำไมพี่อัคคีถึงไม่ใช้เวทมนตร์แก้ให้กับเค้า เหมือนตอนที่พี่เคยช่วยดีดี๊เมื่อตอนนั้นล่ะคะ??!"ดีดี๊พูดกับอัคคี"....ไม่ใช่ว่าเขาไม่ใช้....แต่ข้าใช้พลังนั่นไม่ได้อีกแล้วน่ะสิ....!"อัคคีตอบ"ใช้ไม่ได้? เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่า เจ้าใช้พลังเวทย์นั่นไม่ได้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ?!"แจงจีร่าพูดด้วยอาการประหลาดใจ"ใช่ พวกเจ้ายังจำลูกแก้วมากะนั่นได้หรือเปล่า? หลังจากที่ข้าทำมันแตกไปเมื่อตอนนั้น หลังจากนั้นมา ข้าก็ใช้พลังนั่นไม่ได้อีกเลย..."อัคคีตอบ"แล้วเจ้าเคยทดสอบแล้วหรือยัง?"เคโนว์ถามต่อ"....ข้าเคยลองมาหลายครั้งแล้ว ถ้าข้าไม่มีลูกแก้วนั่นเป็นสือกลาง ระหว่างตัวข้ากับพลังของแม่ข้า ข้าก็ใช้พลังนั้นไม่ได้...!"อัคคีตอบกลับ"....แล้ววิธีแก้คำสาปแบบนี้ล่ะ??"แจงจีร่าถามอัคคีต่อ"...เท่าที่ข้ารู้มา ถ้าไม่สามารถหาวิธี หรือ ใช้เวทมนตร์แก้คำสาปได้ล่ะก็ มีแต่ต้องสังหารผู้ต้องคำสาปเท่านั้น... และนั่นก็คือสิ่งที่เราทำ..."อัคคีตอบ"....บ้าจริงๆเลย..."แจงจิร่าพูดด้วยอารมณ์ที่หดหู่และเศร้าสลด"....แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า มีอะไรแบบนี้อยู่แถวนี้?"เคโนว์ถามอัคคีด้วยความสงสัย"...ถึงข้าในตอนนี้จะใช้พลังเวทย์ไม่ได้ แต่จมูกข้ายังได้กลิ่นของเวทย์มนตร์พวกนี้อยู่ จริงๆแล้วข้าเองก็อยากจะบอกกับพวกเจ้าอยู่นานแล้วว่า กลิ่นพวกนี้มันกระจายอยู่ทั่วเมืองนี้เลยนะ!!"อัคคีพูดขึ้น และคำพูดนี้ทำให้ทุกคนต่างพากันตกใจอย่าเห็นได้ชัด แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจอยู่นั้น พลันผู้ที่ถูกคำสาปได้ส่งเสียงร้องและไอออกมาเบาๆ"เค้ายังไม่ตาย!! พี่อัคคี เค้ายังไม่ตาย!!"ดีดี๊ร้องเรียกอัคคีด้วยอาการตื่นเต้น"...จะเอาอย่างไงดี?"เคโนว์ถาม"....ข้าไม่ได้กลิ่นของเวทย์มืดจากตัวเขาเลย....คงไม่เป็นไรแล้วมั้ง ดีดี๊ แจงจีร่า ช่วยทีนะ..."อัคคีพูด"วางใจได้เลย!!"ดีดี๊ตอบรับก่อนที่จะเข้าไปช่วยรักษาบาทแผลให้กับคนที่นอนมดสติ"...อืม...แล้ว....เจ้าคิดว่าเวทย์มนตร์พวกนี้มาจากไหน?"เคโนว์ถามอัคคี"ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ข้าคิดว่ามันมาจากที่ๆเจ้าคิดไม่ถึงแน่นอน!"อัคคีตอบแบบติดตลก ทำให้เคโนว์เริ่มสงสัยมากกว่าเดิมกับคำพูดของอัคคี"ไหนเจ้าบอกว่าต้องฆ่าคนๆนี้เท่านั้น คำสาปพวกนี้ถึงจะคลาย...แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?"แจงจีร่าถามต่อ"....อืม....นั่นสินะ... หรือว่า!?"อัคคีอุทานขึ้น"อ...เจ้าอีกล่ะ??!"แจงจีร่าตกใจเล็กน้อยกับปฎิกริยาของอัคคี"เจ้านั่นกินพลังเวทย์มนตร์ทุกชนิดเป็นอาหารนี่นา...ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย...!"อัคคีพูด"เจ้านั่น....ใคร?"เคโนว์ถาม"...ออกมาได้แล้ว จบเรื่องแล้ว..."อัคคีพูดกับดาบของตน พออัคคีพูดจบก็มีบางสิ่งค่อยๆออกมาจากดาจากดาบของเขา"อ้าว นี่เจ้าเองหรือนี่...?"เคโนว์พูดกับสิ่งมีชีวิตที่ออกมาจากดาบของอัคคีที่มีรูปร่างเหมือนมังกรขนาดเล็ก"เจ้านี่ เจ้าเรียกว่าอะไรงั้นเหรอ?"แจงจีร่าถาม"...ก็...มังกรไง?"อัคคีตอบอย่างไม่เต็มเสียง"อะไรกัน?! อย่าบอกนะว่าเจ้ายังไม่ได้ตั้งชื่อให้น่ะ?!"แจงจีร่าพูด"...ก็คงจะประมาณนั้นแหละ..."อัคคีตอบ ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำให้ทุกคนถึงกับเวียนหัวกันไปตามๆกัน"....เออนี่ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว แล้วมังกรของพวกเจ้าล่ะไปไหน? เพราะข้ายังไม่เห็นเจ้าพวกนั้นเลย ตั้งแต่ข้ามา?"อัคคีถามขึ้น"ก็อยู่นี่ไง!"เคโนว์ตอบแล้วยกขวานขึ้น จากนั้นก็มีร่างของมนุษย์ออกมาจากขวานของเคโนว์และตามด้วยอาวุธของแจงจี่ร่าและดีดี๊"...ก็แบบนี้แหละ"เคโนว์พูด"สวัสดีเจ้าค่ะ ข้าชื่อว่า ขวานฟ้า เป็นคู่หูของท่านเคโนว์เจ้าค่ะ ยินดีต้อนรับกลับและยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะเจ้าคะ ท่านอัคคี!"มังกรในร่างมนุษย์ของเคโนว์กล่าวทักทายกับอัคคี"ส่วนตัวข้าชื่อว่า ธนูแสง เป็นคู่หูของท่านแจงจีร่าค่ะ ท่านอัคคี!"มังกรในร่างมนุษย์ของแจงจีร่าแนะนำตัว"และตัวของข้ามีชื่อว่า คฑาสูตร ขอรับ เป็นคู่หูของท่านดีดี๊ขอรับ ท่าน"มังกรในร่างมนุษย์ของดีดี๊แนะนำตัวปิดท้าย"....แล้วของเจ้าล่ะอัคคี?"เคโนว์ถามอัคคี อัคคีเองก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา เป็นอันรู้กันว่า มังกรของเขานั้น ไม่สามารถที่จะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้"....การที่พวกเราแปลงกายเป็นมนุษย์ได้นั้นก็คือ การยอมรับจากพวกเราแล้วว่า คนนั้นคือผู้ที่คู่ควรที่จะถือครองพลังของพวกเราโดยชอบธรรมเจ้าค่ะ ท่านอัคคี..."มังกรของเคโนว์พูดขึ้น"....ผู้คู่ควรโคยชอบธรรมงั้นรึ!"อัคคีพูดขึ้น"ถูกต้องขอรับ! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละตนขอรับท่าน!"มังกรของดีดี๊อธิบายต่อ"สภาวะ?"อัคคีพูดในขณะที่กำลังคิดตาม"....ใช่คะ แต่ว่ามันก็มีปัจจัยอื่นที่สามารถทำให้เราสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ในบางกรณีนะคะ!"มังกรของแจงจีร่าพูดขึ้น"อะไรอย่างนั้นหรือ?"อัคคีถามกลับด้วยความสงสัย"....เอาเป็นว่า เรื่องนี้พวกเราขออนุญาตท่าน ขอให้พวกจัดการกันเองได้หรือไม่เจ้าคะ? เพราะมันเป็นความลับระหว่างเราสี่พี่น้อง..."มังกรของเคโนว์พูดขึ้นอีกครั้ง"....ตามสะบาย..."อัคคีตอบสั้นๆ หลังจากนั้นมังกรพวกนั้นก็ได้แยกตัวออกมาจากบริเวณนั้นในทันที ครู่ต่อมา เซย์ซิเรียก็ได้วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาทุกคนพร้อมกับคนอีกจำนวนนึง"ทุกท่าน! ปลอดภัยดีนะคะ!?"เซย์ซิเรียพูดพรางหอบด้วยความเหนื่อย"....คนพวกนี้...!"เคโนว์พูดพร้อมกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่เซย์ซิเรียพามาด้วย"....คือ...พวกเขาเป็นคนของเราเอง พวกเขาเก่งมาก!! แล้วปีศาจนั่นล่ะคะ??"เซย์ซิเรียพูด"....เจ้านั่นมันหนีไปแล้วครับ คุณหนู..."อัคคีตอบเซย์ซิเรีย"....ช....ใช่ครับคุณหนู! มันหนีไปแล้ว เนอะ! แจงจีร่า!"เคโนว์พูดพร้อมปัดไปให้แจงจีร่าต่อ"เอ๋...??? อ...อิ่ม! มันหนีไปแล้ว??!"แจงจีร่าตอบแบบเกือบจะรับมุขของเคโนว์ไม่ทัน
.
.
.
ข้าชื่อ ดอกเหมย
ในช่วงเวลาค่ำ ของวันนั้น พวกของเคโนว์ได้นำผู้ต้องคำสาปมาพักฟื้นภายในห้องห้องนึงของโรงเตี๊ยม โดยมีแจงจีร่าและดีดี๊คอยดูแลอยู่"....คิดดีแล้วสินะ ที่พาคนๆนั้นมาพักที่นี?"เคโนว์ถามอัคคี"....คิดว่านะ..."อัคคีตอบสั้นๆ"...แล้วเจ้าคิดจะบอกเรื่องนี้กับท่าน....เซย์ซิเรียไหม?"เคโนว์ถามต่อ"....ไม่ล่ะ ข้าว่า มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไร ที่นางจะต้องรู้!"อัคคีตอบกลับ"ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนั้นล่ะ??"เคโนว์สงสัย"....ตัวนางน่ะ ไม่เท่าไร แต่คนอื่นๆรอบตัวนางล่ะ? จะคิดอย่างไร? ดีไม่ดีคนพวกนั้น อาจจะแฝงตัวอยู่ใกล้ๆตัวกับนาง หรือ ครอบครัวของนางก็ได้!"อัคคีตอบอย่างมีเหตุผล"....นั่นสินะ แต่ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะเกี่ยวกันไหม?"เคโนว์พูดขึ้น"เรื่องอะไร?"อัคคีถามกลับ"ก็เรื่องกลิ่นเวทมตร์ที่เจ้าได้กลิ่น ไหนจะเรื่องของคำสาปที่เราเจอกันอีก แล้วก็เรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กสาวด้วยนี่สิ... นั่นแหละที่ข้าอยากจะรู้!"เคโนว์ตอบ"....ข้าว่า เราคงต้องรอให้คนๆฟื้นซะก่อนดีกว่านะ เพราะข้าเองก็ไม่กล้าตัดสินอะไรเองโดยที่ไม่มีหลักฐานอะไรซะด้วยสิ...."อัคคีพูดแล้วถอนหายใจ"มันก็จริง......แต่ขอถามเจ้าหน่อยเถอะ ว่ากลิ่นเวทที่เจ้าได้กลิ่นมาจากทางไหน??"เคโนว์ยิงคำถามไปหาอัคคีอีกครั้ง"ก็ที่.....?"อัคคีหยุดพูดกลางคันเพราะพวกมังกรทั้งหมดได้เดินเข้ามายังทั้งสองคน"ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะนะเจ้าคะ....ท่านอัคคี ขอเชิญท่านพบกับท่านพี่ใหญ่ของพวกเราเจ้าค่ะ!"ขวานฟ้าพูดขึ้นก่อนที่จะผายมือไปยังด้านหลังของตน ปรากฏร่างของเด็กสาวคนนึงที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไรนัก"ใคร???"อัคคีถามพวกของขวานฟ้า"อ้าว...? ก็ท่านพี่ใหญ่ของเราไงล่ะขอรับ!?"คฑาสูตรตอบ"พี่ใหญ่?....แล้วทำไมถึง??"อัคคีถามตอบพร้อมชี้นิ้วไปยังเด็กสาว"ที่ข้าเป็นแบบนี้ ก็เพราะตัวเจ้านั่นแหละ ที่ไม่ยอมให้ข้ากินพลังเวทของเจ้า!!"เด็กสาวตวาดใส่อัคคี"พลังเวทของข้า?"อัคคีถามเด็กสาวกลับ"....ถ้าหากจะบอกว่า เจ้าไม่มีพลังเวทล่ะก็! ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก! เพราะข้าเองก็ได้กลิ่นพลังเวทของเจ้าเหมือนกัน! แถมยังหอม น่ากินอีกด้วย!"เด็กสาวพูดทำให้อัคคีอึ้งไปครู่นึง"....ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ให้เจ้ากินนะ.....แต่ข้าปล่อยพลังแบบนั้นออกมาไม่ได้ต่างหาก เอาเถอะ...เมื่อไรที่ข้าใช้พลังนั้นได้ ข้าจะให้เจ้ากินให้เต็มที่เลย!"อัคคีพูดกับเด็กสาว"จริงๆนะ! เจ้าพูดจริงๆนะ! สัญญา!"เด็กสาวพูดด้วยความดีใจ แล้วส่งนิ้วก้อยออกมาหาอัคคี"อื่ม สัญญา..."อัคคีพูดแล้วเกี่ยวก้อยสัญญากับเด็กสาว".....แล้วจะให้พวกเราเรียกว่าอะไรดีนะ?"เคโนว์พูดในขณะที่กำลังใช้ความคิด"....นั่นสินะ จะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไรดี?"อัคคีถามเด็กสาว".....ดอกเหมย...!"เด็กสาวตอบ ซึ่งคำตอบนั้นทำให้อัคคีนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง".....เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้า ด้วยชื่อนี้หรือ?"อัคคีถามเด็กสาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เด็กสาวกลับไม่ตอบอะไร และยังทำท่าว่าจะไม่สนใจในคำถามของอัคคีอีกด้วย"....ก็ได้ ดอกเหมย นับแต่นี้ต่อไป นี่คือชื่อของเจ้านะ..."อัคคีพูดกับดอกเหมย"....อื่ม!"เด็กสาวขานรับอย่างกระตือรือร้น ทำให้อัคคียิ้มมุมปากออกมาเล็กน้อย"....เหมือนกันจริงๆ โดยเฉพาะแววตาเมื่อกี้นี้...."อัคคีพูดเบาๆอยู่คนเดียว
.
.

.