วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

บันทึกลี้ลับ

เรื่องราวเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น และบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เกิดจากเรื่องจริง ที่ได้รับการท่ายทอดมาจากคนใกล้ชิด เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ควรใช้วิจารณญาณในการรับชม
.
.
.
.
เธอคือใครที่ริมชายหาด
ผมเป็นคนๆนึงที่ไม่ค่อยจะเชื่อเรืองวิณญาณหรือผีๆสางๆอะไรเท่าไรนัก แต่ผมก็ไมเคยลบหรู่อะไร หลังจากที่จบเรียนจากต่างประเทศผมได้เดินทางกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยตามเดิม จนกระทั่งวันนึงผมได้รับการติดต่อจากเพื่อนที่ต่างประเทศว่าจะเดินทางมาเที่ยวที่ประเทศไทย และได้ไหว้วานให้ผมเป็นไกย์ ผมในตอนนั้นกำลังเบื่อๆกับการทำางานธุระกิจของทางบ้าน ผมจึงบอกจากทางบ้านว่าเพื่อนๆที่ต่างประเทศจะมาเที่ยวเมื่อทางบ้านได้อนุญาตแล้วผมก็ได้แต่รอวันที่เพื่อนเหล่านั้นจะเดินทางมาถึง เมื่อวันนั้นมาถึงผมได้ออกเดินทางไปรับพวกเขาที่สนามบิน และเมื่อรับเพื่อนๆเหล่านั้นแล้ว ผมได้ขับรถออกจากสนามบินและได้หันไปถามเพื่อนๆว่า"จะไปเที่ยวไหนกันดี"พวกเขาลงความเห็นกันว่าอยากจะไปเที่ยวทะเล ผมจึงขับรถลงไปทางภาคใต้และตัดสินใจที่จะจอดรถที่ชายหาดแห่งหนึ่งเพื่อหาที่พักในบริเวณนั้น หลังจากที่ได้ที่พักแล้ว พวกผมได้ตัดสินใจนอนพักกันก่อนในวันนั้น ในวันรุ่งขึ้นพวกเราได้ลงความเห็นว่าจะเช่าเรื่อเพื่อจะไปเที่ยวบริเวณเกาะใกล้ๆกับชายหาดแถวนั้น หลังจากที่หาอยู่นาน พวกเราก็ได้พบกับลุงคนนึ่งแก่เสนอเจ็ทสกีให้พวกเราเช่า หลังจากที่ปรึกษากันอยู่ครู่นึ่งก็ตกลงกันว่าจะเช่าเจ็ทสกีเพื่อจะเที่ยวเกาะที่อยู่ใกล้ๆกับชายหาดนั้น
.
.
.
.
.
.

อยู่กับที่ หรือติดมา(ประสบการณ์จริง)

บ้านของผมมีอาชีพเลี้ยงสัตว์(คือแพะ) อาศัยอยู่ในจังหวัดลพบุรี(แต่ผมเป็นพุทธนะครับ) เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อประมาณกลางเดือนที่แล้ว พวกเราได้ทำการเช่าที่ของคนๆหนึ่งที่ลูกพี่ลูกน้องของพ่อรู้จักมาได้พร้อมกับโรงเรือนเพื่อทำการเลี้ยงแพะ หลังจากที่จัดเตรียมสถานที่เสร็จและทำการต้อนฝูงแพะไปถึงที่นั่นแล้ว ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดี จนมีอยู่วันนึงประมาณอาทิตย์ที่แล้วมีแพะตัวนึงที่ท้องแก่ทำท่าเหมือนจะครอดลูกแต่กลับออกลูกไม่ได้เพราะแม่แพะตัวนี้ไม่มีอาการเบ่งหรือที่เรียกว่าไม่มีลมเบ่งนั่นแหละครับ พ่อกับแม่ผมเลยเอาแพะตัวนี้ไปที่ปศุสัตว์ที่อยู่ในตัวอำเภอ ผมจึงต้องเฝ่าฝูงแพะที่เหลือคนเดียว ประมาณบ่ายโมงพ่อกับแม่ถึงได้กลับมา ส่วนแม่แพะตัวนั้นต้องฝากเขาไว้เพราะลูกแพะนั้นตายในท้อง(เเท้งลูก)แล้วออกมาไม่หมด จึงต้องฝากเขาดูแลให้ พวกเราจึงไม่คิดอะไรเพราะเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า การทำอาชีพนี้ต้องเจอเรื่องแบบนี้เป็นธรรมดา แต่พอมาคิดดูอีกที ทุกครั้งที่แพะจะครอดลูกต้องเสียสินบนให้กับเจ้าที่เจ้าทางแทบทุกครั้ง จนมาถึงเมื่อวานนี่ มีแม่แพะอีตัวนึงปวดท้องจะครอดลูกอีกตัวนึง ซึ่งทุกคนก็ทำหน้ที่กันปกติ แต่แปลกตรงที่ แพะตัวนั้นยังไมมีท่าทีว่าลูกกำลังจะออกมา อาการคือ กระสับกระส่ายเหมือนแพะตัวอื่นๆ แต่มันมีอาการเกร็งมาด้วยที่ตัวอื่นไม่เป็น ผ่านไปเวลาบ่ายสามโมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะออก พ่อผมจึงเดินทางไปวัดวัดหนึ่งกับเพื่อนของเขาแล้วกลับมาพร้อมกับน้ำมนตร์ในมือ และทำการกรอกปากแพะตัวนั้นสามครั้งและลูบหลังสามครั้ง หลังจากนั้นเหมือนอาการของแพะตัวนั้นดูจะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าลูกแพะจะออกมาได้ ตกเย็นใกล้ค่ำพ่อจึงไปที่บ้านของคนรู้จักคนนึงซึ่งแกเป็นร่าง(คน)ทรงของเจ้าพ่อพระกาฬ แกบอกพ่อว่า พวกมันกำลังจ้องกันตาเป็นมันเลย รีบๆเอาไอ้ตัวที่เจ็บ(ที่กำลังจะครอด)กลับบ้านซะ ถ้าพ้นคืนนี้ทั้งแม่ทั้งลูกรอดยาก แล้วก็เอาฝูงกลับมาด้วย ถ้าไม่รีบพวกมันจะกินจนเหลือห้าตัว มันไม่ใช่เจ้าที่เก่าแก่ตรงนั้นมันตินมากับคอก(โรงเรือน) รีบๆทำซะล่ะ ก่อนกลับแก่ได้ให้น้ำมนตร์พ่อผมมาอีสองสามขวด พ่อเลยเอาน้ำมนตร์นั้นมาลูบหัวลูบหางแพะตัวนั้นอีกครั้งก่อนที่จะนำกลับมาที่บ้าน และเมื่อมาถึง(เข้ามาในบ้าแล้ว)แพะตัวนี้มีัญญาณบอกว่าลูกเเพะกำลังจะออกมาและมันก็ออกมาจริงๆ แต่ตอนออกดันเอาหูออกมาก่อนพ่อผมเลยต้องช่วยเปลี่ยนท่าให้ลูกแพะให้ถึงออกมาได้อย่างปลอดภัยแบบน่าอัศจรรย์ใจ แม่มาเล่าให้ผมฟังว่า คืนก่อนแกเข้าห้องน้ำ ในระว่างนั้นแกได้ยินเสียงลูกแพะร้องเหมื่อนกับกลัวอะไรสักอย่างแล้วตามมาด้วยเสียงวิ่งเหมือนแพะตื่นตกใจอะไรเหมือนมีอะไรกวน พอแกออกจากห้องน้ำแกเห็นเหมือนกับนกบินอยู่ไม่ห่างจากที่แกอยู่แต่แกมองไม่เห็นว่าเป็นนกอะไรแต่ตัวมันใหญ่มากๆเท่าๆกับไก่ตัวนึง แล้วพอแม่แกเดินเนไปในโรงเรือน นอกหน้าต่างแก่เห็นหัวแพะตัวนึงดำๆอยู่ข้างนอก แต่พอแกนึกดูดีๆว่าแพะตัวไหนตัวสูงขนาดหน้าต่าง(ชั้นเดียว)กัน ในตอนนั้นแม่แกยังไม่กลัวแต่สงสัยเฉยๆ จนมาถึงวันนั้น เพื่อน(ใหม่ที่ไปวัดด้วยกัน)ของพ่อแก่เคยเล่าว่าเคยมีคนลองท้าให้มาเอาไปจนต้องเสียชีวิตไปแล้วถึงสองคนในที่บริเวณนี้ และในวันนี้ผมได้ต้อนฝูงแพะกลับบ้านมาได้อย่างปลอดภัย สำหรับพื้นที่ตรงนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่าแก่มาก่อน ปัจจุบันร่องรอยของวัดยังอยู่ สมัยเด็กผมเคยเข้าไปเล่นแถว(วัด)นั้น หรือในครองประจำหมูบ้านนี้ ผมก็เคยงมเจอเศษไหและกระดูกมาแล้วครับ
.
.
.
.
.
.

เมื่อจิตเปิด(ประสบการณ์จริง)

เหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์สั้นๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองโดยตรง เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมย์ษายนของปีนี้ โดยปกติผมจะทำเครื่องไฟเป็นอาชีพเสริม(เป็นเครื่องของลุงผมเอง แต่ผมจะเรียกแกว่าพ่อ เพราะแกเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนพ่อแม่ผมในตอนนั้นยังทำงานอยู่ในกรุงเทพซึ่งปัจจุบันได้กลับมาอยู่ที่บ้านได้หลายปีแล้ว) ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันหลังสงกรานต์หนึ่งวัน ผมได้เดินทางไปที่วัดวัดนึงเพื่อขนของจำพวกนั่งล้านกับอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับงานเครื่องไฟบางส่วนที่ยังเก็บกลับมาไม่หมดที่วัดนั้น หลังจากที่เป็บของทุกอย่างจนหมดแล้วก็ได้เดินทางกลับเพื่อที่จะนำของทั้งหมดนั้นกลับบ้าน(ของลุงผม) ผมนั้นนั่งอยู่ท้ายรถเป็นประจำทุกงานทั้งขาไปและขากลับและทุกครั้งผมจะนั่งคนเดียวมีอยู่บางครั้งที่จะมีคนอื่นนั่งหลังมาด้วย จำได้ว่ามาถึงหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านของผมไม่ไกลนัก ในนตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหกโมงเย็น เมื่อผ่านหน้าบ้านหลังนึงมีกองไม้กองอยู่กองนึง พลันสายตาของผมได้เห็นกับผู้หญิงคนนีงผมยาวกำลังนั่งสางผมที่ยาว(ประมาณกลางหลัง) และที่สำคัญคือ เธอใส่ชุดไทย สีชมพู นั่งอยู่บนกองไม้ และพอผมหันกลับไปอีกครั้งผมก็ไม่เห็นอีกแล้ว ตอนนั้นผมคิดว่าตัวเองตาฝาดเพราะนอนน้อย จึงไม่ได้คิดอะไรมากจนทำทุกอย่างเสร็จและกลับบ้านของผมเพื่อพักผ่อน วันต่อมาผมทำกิจกรรมทุกอย่างเหมือนเช่นทุกวันจนกระทั่งเวลาหกโมงเย็น(เวลาเดิม) ผมได้ขับรถคู่ชีพออกไปร้านค้าหน้าวัดของหมู่บ้าน ระหว่างทางมจะมีจุดๆนึงที่เป็นที่เก่าที่เป็นสวนชะอมที่คนแถวนั้นเขาปลูกกัน ที่ตรงนี้จะมีศาลเพียงตาเก่าๆอยู่หลังนึง และที่ตรงนี้ที่หลายคนมักจะเห็นหมาดำตัวใหญ่วิ่งข้ามถนน(ในสมัยก่อน) เมื่อผมขับรถไปถึงบริเวณนั้น ผมได้เห็นกับใบหน้า(มีแต่ใบหน้าเฉยๆจริงๆ ไม่เห็นตัว) ขนาดค้อนข้างใหญ่ แต่ใบหน้านั้นเหมือนกับเพื่อนของผมคนนึงแต่ว่าเขายังไม่ตาย พักนึงหน้านั้นก็หายไป และเมื่อผมผมไปถึงร้านค้าแล้วก็จัดแจงซื้อของแล้วเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน พอดีมีคนรู้จักเป็นร่างทรง(คนละคนกับเรื่องที่แล้วนะครับ แต่อยู่บ้านเดียวกัน) เมื่อผมเจอแกผมก็ถามแกไปว่า"....มีผีอะไรที่หม่สใบสีชมพูบ้างลุง?"ลงแกเลยตอบว่า"ห่มสใบสีชมพูก็นางไม้ไง ไปเห็นที่ไหนมา"ผมเลยเล่าเรื่องเหตุการณ์ทั้งหมดให้แกฟัง แกบอบว่า"ที่เห็นผู้หญิงห่มสใบสีชมพูน่ะ คือนางไม้ แล้วหน้าที่เห็นนั้นก็คือกุมารทอง ที่เห็นนะ่ดีแล้ว เขาแค่อยากให็เห็น หลังจากนี้ก็สวดมนตร์ แผ่เมตตาห้พวกเขาบ่อยๆด้วยล่ะ"หลังจากนั้นผมก็ทำตามที่แกบอก แล้วผมก็ไม่เคยเห็นแบบนั้นอีกเลย จะมีก็แค่ความรู้สึกขนลุกอยู่บ้างในบางครั้ง 
.
.
.
.
.
.